ในโลกของพนักงานประจำ
บ่อยครั้งเราต้องก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างหนักจนแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน
แต่ทราบหรือไม่ครับว่าชีวิตของนักเล่นหุ้นเองก็เป็นเช่นนั้นอยู่บ่อยๆ
พักก่อนมั๊ย? วางแผนก่อนมั๊ย?
เมื่อ
ผมเห็นเพื่อนถูกบีบให้ต้อง "ปั่นงาน" ส่งหัวหน้าให้ทันเวลา
บอกให้พักก็ไม่พัก เสร็จแล้วงานก็ออกมาผิดๆ พลาดๆ ต้องแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำอีก
ทั้งที่จริงหากเขาเพียงแต่จะหยุด... และวางแผนสักหน่อย
เขาอาจจะพบวิธีบริหารเวลาและทำงานให้เสร็จเรียบร้อยตามเวลาได้ไม่ยากเลย
ผม
เปรียบเทียบเรื่องนี้กับคนตัดไม้ที่ไม่ยอมลับขวานก่อนตัดไม้
ด้วยความที่มีเวลาจำกัด คนตัดไม้รีบคว้าขวานวิ่งเข้าไปฟันๆๆๆ
ต้นไม้อย่างไม่คิดชีวิต
แม้ชาวบ้านที่เดินผ่านมาจะท้วงว่าขวานของเขาทื่อจนไม่กินเนื้อไม้
คนตัดไม้ก็ไม่สนใจ เขาให้เหตุผลว่าหากเขาหยุดแม้เพียงหนึ่งนาที
งานของเขาก็อาจไม่เสร็จ ในสมองของเขารู้แต่เพียงว่ายิ่งเขาเร่งมือเท่าไหร่
งานก็ยิ่งเสร็จเร็วเท่านั้น
ระบบความคิดของคนตัดไม้ คือ
[งาน] = [ความเร็วในการทำงาน] x [เวลา]
จึง
ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะรีบร้อน (เพิ่มความเร็วในการทำงาน) และไม่ยอมหยุดพัก
(เพิ่มเวลาทำงาน) ทั้งที่จริงแล้วหากเขาเพิ่ม "ประสิทธิภาพ"
ในการทำงานด้วยการคิดและวางแผน
เขาอาจเพิ่มความเร็วในการทำงานขึ้นได้หลายเท่าและทำงานเสร็จได้โดยไม่ต้องทำ
งานหามรุ่งหามค่ำ น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ทำ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง
สภาพของคนตัดไม้เหงื่อโทรมกาย
แต่รอยขวานยังกินเนื้อไม้ไปไม่ถึงไหนเลยด้วยซ้ำ เขาหยุดดูผลงานตัวเองเพียง
2-3 วินาทีด้วยความระทดท้อ แต่ก็กลับมาเหวี่ยงขวานอย่างเดิมอีก
ยิ่งเล่นหุ้น ยิ่งเจ๊ง
ราว
กับคนตัดไม้กลับชาติมาเกิด
นักเล่นหุ้นมือใหม่หลายคนคิดว่าถ้าเขาทำกำไรจากหุ้นด้วยการ "เล่นรอบ"
ซื้อถูกขายแพงรอบแล้วรอบเล่า
ยิ่งเวียนซื้อได้บ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งรวยเร็วเท่านั้น
พฤติกรรมนี้ไม่ต่างอะไรกับคนตัดไม้ที่ในใจคิดแต่จะเหวี่ยงขวานทื่อๆ
ระบบความคิดของนักเล่นหุ้นเหล่านี้ คือ
[กำไร] = [กำไรต่อรอบ] x [จำนวนรอบ]
พวก
เขาจึงพยายามเล่นหุ้นทุกวันหรือเล่นรอบสั้นๆ บ่อยๆ และเข้าออกอย่างรวดเร็ว
แตกต่างจากนักเก็งกำไรมือโปรที่ระบบความคิดของพวกเขา คือ
[กำไร] = [กำไรเฉลี่ย] x [จำนวนครั้งที่กำไร] - [ขาดทุนเฉลี่ย] x [จำนวนครั้งที่ขาดทุน]
สังเกต
ว่าพวกมืออาชีพเขาคิดทั้งกำไรและขาดทุน จึงมักอยู่รอดได้ในระยะยาว
นอกจากนี้พวกเขายังคิดต่อว่าจะเพิ่มกำไรเฉลี่ยได้อย่างไร
และพยายามไม่เทรดบ่อยครั้ง เพราะโจทย์ไม่ได้อยู่ที่ความบ่อย
แต่อยู่ที่ความแม่น
พวกเขาจึงมักอ่านหนังสือและใช้เวลาค้นคว้าอย่างจริงจังที่จะตีโจทย์เหล่านี้
ผิด
กับนักเล่นหุ้นมือสมัครเล่นที่มักพร่ำสอนกันและกันว่า
อ่านหนังสือไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้ลงมือเล่นหุ้นจริงๆ ไปเลยดีกว่า
ถึงขาดทุนก็ถือว่าเป็น "ค่าเรียนรู้" ก็แล้วกัน
...แนวคิดนี้ส่งเสริมให้คนหลับหูหลับตาเล่นหุ้นต่อไปอย่างเมามันด้วยความ
หวังว่าการขาดทุนที่พวกเขาพบเจอจะทำให้ได้เรียนรู้
ในทำนองเดียวกับ
คนตัดไม้ที่หยุดลับขวานก่อนลงมือตัดไม้
นักเล่นหุ้นก็ควรเพิ่มพูนความรู้ก่อนซื้อหุ้นด้วยเช่นกัน
ลองถามตัวเองดูก่อนว่า
ถ้าเราสามารถเรียนรู้ความผิดพลาดของคนอื่นด้วยการอ่าน
แล้วมีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปเปลืองเงินทองละลายไปในตลาดหุ้น
เพียงเพื่อให้ได้เนื้อหาเดียวกันนั้น?
จริงอยู่ว่าความรู้และ
ประสบการณ์ทั้งหมดไม่ได้อยู่อย่างสมบูรณ์ในหนังสือ แต่ถ้าเราจะหา shortcut
เรียนรู้ไปก่อนระดับหนึ่ง เราย่อมประหยัดเงินทองที่จะต้องเป็น
"ค่าเรียนรู้" ไปได้มาก หนังสือ 200-300 บาท
อาจเทียบเท่าค่าเรียนรู้ในตลาดหุ้นเป็นหมื่นเป็นแสนบาทนะครับ
คนที่ประหยัดค่าหนังสือ (ที่จริงไปยืมห้องสมุดมารวยอ่านก็ได้)
จึงมักจะเล่นหุ้นเจ๊ง ยิ่งเล่นก็ยิ่งเจ๊ง
คำแนะนำ
ผม
แนะนำให้นักลงทุนทุกท่าน "ลับขวานก่อนตัดไม้"
เพื่อให้แน่ใจว่าขวานที่คุณมีจะทำให้คุณตัดไม้ได้ง่ายและเร็วขึ้น
อย่าลังเลที่จะหยุดเพื่อคิดและวางแผน รวมทั้งลับขวานอยู่เป็นระยะๆ
แล้วปริมาณไม้ที่คุณตัดได้จะตามมาเอง
ขอขอบคุณ http://www.monkeyfreetime.com