วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิธีการเล่นหุ้น และบัญญัติ 10ประการของ Dan Zanger

zanger วิธีการเล่นหุ้น และบัญญัติ 10ประการของ Dan Zanger 

วันนี้ผมนำ บัญญัติวิธีการเล่นหุ้น 10 ข้อของ Dan Zanger มาให้อ่านกันครับ โดยหากคุณยังไม่รู้จักกับเขาคนนี้ว่า Dan Zanger นั้น เป็นใครผมก็ขอแนะนำคร่าวๆนะครับ ว่าเขาคือหนึ่งในนักเล่นหุ้นที่ดีที่สุดของโลกคนหนึ่งโดยสิ่งที่ทำให้เขา กลายเป็นที่สนใจก็คือ เมื่อประมาณเกือบสิบปีที่ผ่านมา ( ประมาณปี 1999-2000) เขาได้ทำให้วงการหุ้นตะลึงโดยการที่เขาสามารถ ทำเงิน 11,000 เหรียญเล่นหุ้นให้กลายเป็นเงิน 18 ล้านเหรียญได้ภายในปีเดียว! และยังไม่พอครับอีกประมาณสองปีต่อมาเขาสามาถทำเงินเพิ่มจากการเล่นหุ้นจนมีทรัพย์สินประมาณ 42 ล้านเหรียญสหรัฐอย่างไม่น่าเชื่อ และที่สำคัญนี่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการฟลุ้คอย่างแน่นอน เพราะเขาเคยเจ๊งและเล่นหุ้นอย่างลุ่มๆดอนๆมาเป็นสิบปี และอะไรคือหลักการคิดที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองไปได้ถึงขนาดนี้เรามา ติดตามกันครับ


1.ก่อนที่จะซื้อหุ้นให้ตรวจสอบให้ดีว่า รูปแบบราคาของหุ้นตัวที่คุณสนใจนั้นตรงกับรูปแบบราคาหุ้นที่มีความน่าเชื่อถือและให้ผลตอบแทนอย่างดีหรือไม่
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2.ซื้อเมื่อหุ้นวิ่งผ่านแนวต้านของรูปแบบราคา (chart Pattern) และดูให้ดีว่า มีวอลุ่มเข้ามามากหลังจากราคาได้เคลื่อนผ่านแนวต้านไปแล้วหรือไม่ อย่าซื้อหุ้นเมื่อมันได้วิ่งผ่านแนวต้านเดิมมาเกินประมาณ 5%แล้ว ที่สำคัญคุณควรจะรู้ค่าเฉลี่ยวอลุ่มที่ผ่านมาภายในช่วงเวลา 30 วันด้วยเช่นกัน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3.ต้องรีบขายหุ้นที่หักหัวกลับลงมาที่จุดซื้อแนวต้านเดิม หรือเส้นแนวโน้มที่พึ่งผ่านมา (trend line) โดยปกติแล้วคุณควรตั้งจุดขาดทุนไม่เกิน1-2 ช่องต่ำกว่า Breakout Point หรือแนวต้านเดิม นักเล่นหุ้นบางคนอาจจะตั้ง “จุดตัดขาดทุน” ไว้ไม่เกิน 5% ของพอร์ทรวม และนี่อาจรวมถึงการที่เราควรขายหุ้นที่ ไม่วิ่งหลังจากราคาทะลุแนวต้านไปแล้วเกิน 20 นาที หรือ 3 ชั่วโมง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
4.ขายหุ้นออกไปประมาณ 20%-30% หลังจากที่มันได้วิ่งทำกำไรให้คุณไปแล้วประมาณ 15%-20% จากจุดซื้อที่แนวต้านเดิม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
5.ถือหุ้นที่แข็งแกร่งและแรงที่สุดไว้ให้นานที่สุด และควรขายหุ้นที่เคลื่อนใหวอืดอาดออกไปอย่างรวดเร็ว เราต้องจำไว้ว่า “หุ้นนั้นดีต่อเมื่อมันวิ่งขึ้น”
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
6.มองหา “กลุ่มหุ้นที่นำตลาด” เอาไว้และพยายามเลือกหุ้นจากกลุ่มนี้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
7.หลัง จากที่หุ้นวิ่งไปได้ไกลๆระยะหนึ่ง หุ้นของคุณมีแนวโน้มที่จะถูกเทขายทำกำไรอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคุณไม่อยากเชื่อ ดังนั้นจงเรียนรู้ที่จะ ยกจุดตัดขาย (Trailing Stop) หรือ การกำหนดจุดตัดขายจากเส้นแนวโน้มให้ดีเพื่อช่วยในการออกหุ้นของคุณ ซึ่งพวกคุณอาจจะสามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้จากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับ Candlesticks หรืออ่านหนังสือ Encyclopedia of Chart Reading เขียนโดย Bulkowski
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
8.จำไว้ให้ดีว่า “หุ้นจะวิ่งวอลุ่มต้องเข้า” ดัง นั้นจงรู้จักสังเกตุพฤตติกรรมของการซื้อขายหรือวอลุ่มของหุ้นที่คุณซื้อและ รู้ว่าจะจัดการอย่างไรเมื่อเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงของวอลุ่มการซื้อขาย ซึ่งคุณจะสามารถสังเกตุเห็นได้จากการอ่านกราฟ วอลุ่มคือกุญแจแห่งความสำเร็จในการวิ่งของราคา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
9.มีหุ้นมากมายที่อยู่ในการแนะนำให้ซื้อหลังจากหุ้นวิ่งทะลุแนวต้านทำ New high อย่างไรก็ตามแค่การที่มันถูกแนะนำไม่ได้แปลว่าคุณควรที่จะซื้อมันหลังจากที่มันวิ่งทะลุแนวต้านไปแล้ว คุณควรที่จะสังเกตุพฤตติกรรมของราคาและวอลุ่มในระหว่างวันหลังจากมันวิ่งทะลุขึ้นไป และดูประกอบกับสภาพตลาดโดยรวมด้วย
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
10.คุณไม่ควรเล่นหุ้นด้วย Margin หากคุณยังไม่ชำนาญในตลาดหุ้น ในการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค และที่สำคัญคือการควบคุมอารมณ์ของคุณ เพราะ Margin จะทำให้คุณหมดตัวได้

ขอขอบคุณ  http://www.mangmaoclub.com

การวิเคราะห์ทางเทคนิค ด้วยปริมาณการซื้อขาย หรือ Volume Analysis

1.การเคลื่อนที่ของวอลุ่มและราคามักจะเป็นไปตามแนวโน้ม
ดังนั้นแนวโน้มขาขึ้น แรงซื้อ ต้องมากกว่าแรงขาย ดังนั้นแท่งเทียนที่ปรับตัวขึ้นบวกต้องมีวอลุ่มมากกว่าแท่งเทียนที่ปรับตัวลง
ส่วน แนวโน้มขาลง แรงขายต้องมากกว่าแรงซื้อ ดังนั้น แท่งเทียนสีดำ (หรือแท่งสีแดง)ที่บอกภาพลบต้องมีวอลุ่มมากกว่าแท่งเทียนที่เป็นภาพซื้อสี ขาว ในตลอดแนวโน้มขาลง
 หาก ภาพของวอลุ่มไม่สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าวแล้ว ก็อาจจะเป็นสัญญาณเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่จะ เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้

2.เมื่อวอลุ่มเคลื่อนที่ไม่สอดคล้องกับราคา จะบ่งบอกถึง Trend หรือแนวโน้มข้างหน้าว่ากำลังเปลี่ยนไป
เช่น
เมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นทำ New high ใหม่ ในแต่ละรอบ แต่กลับมี ปริมาณการซื้อขายที่น้อยลง ก็บ่งบอกว่าแนวโน้มขาขึ้นที่เห็นนั้นกำลังอ่อนแรง และอาจเปลี่ยนแนวโน้มได้ในไม่ช้า (เสมือนพลุที่หมดเชื้อเพลิง)
ส่วน แนวโน้มในตลาดขาลงที่มีวอลุ่ม เริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็จะบ่งบอกถึงแรงขายได้ใกล้หมดลงแล้ว จึงทำให้แรงซื้อจะกลับมาชนะแรงขายอีกครั้ง และตลาดจะปรับตัวเป็นขาขึ้นอีกรอบ
ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้เป็นพื้นฐานขั้นต้นที่นักลงทุนจะต้องเรียนรู้และใช้ประกอบในการตัดสินใจการลงทุนทุกครั้ง
โดย การวิเคราะห์โดยละเอียดและให้แม่นยำนั้น ต้องศึกษาและสังเกตุพฤติกรรมหุ้นในหลายๆรูปแบบ รวมถึงจะต้องเห็นกราฟในรูปแบบซ้ำในหุ้นหลายๆตัว เพื่อเพิ่มทักษะในการวิเคราะห์

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Martin Schwartz สุดยอดเซียนหุ้นระดับตำนาน





Martin Schwartz สุดยอดเซียนหุ้นระดับตำนาน  ด้วยผลงานการเทรดของเขาที่ไม่ธรรมดา ในปีแรกของการเป็นเทรดเดอร์ เขาสามารถทำเงินได้ถึง $600,000 และเบิ้ลเป็นสองเท่าในปีถัดมา Schwartz เปิดเผยว่าเขาเคยทำเงินได้ถึง $70,000 ในการเทรดเพียงหนึ่งวัน!!!!!!! นอกจากนี้ เขายังได้ตำแหน่งแชมป์การเทรดในรายการ U.S. Investing Championship เมื่อปี 1984 ซึ่งถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสำหรับเหล่าบรรดานักเล่นหุ้น ชาวอเมริกันเลยทีเดียว !!

ผลงานการเทรดของเขา ยังคงเป็นตำนานให้เทรดเดอร์รุ่นใหม่ๆ กล่าวถึงอยู่เสมอ ก็ลองคิดดูสิจะมีซักกี่คนบนโลกใบนี้ที่ทำกำไรเฉลี่ยต่อปีจากการเล่นหุ้นได้ ถึงเกือบ 100% ต่อปี ย้ำนะว่าต่อปี และเป็นช่วงเวลายาวนานถึงกว่า 10 ปีอีกด้วย สิ่งนี้เองทำให้เขาได้รับการกล่าวขานให้เป็น ตำนานของตำนาน! ของบรรดาเหล่านักเล่นหุ้นระยะสั้นสำหรับชาวอเมริกัน!!!!!


Martin Schwartz ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการเล่นหุ้นออกมาหลายต่อหลายเล่ม ซึ่งหนังสือที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือหนังสือขายดีอย่าง Market Wizards หนังสือที่ได้รวบรวมบทสัมภาษณ์ของบรรดาเหล่าเทรดเดอร์จากทุกตลาด มาเปิดเผยเทคนิค วิธีการ และแนวคิดในการเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จในแบบฉบับของแต่ละคน ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนสไตล์ใด ไม่ว่าคุณชอบหุ้น ฟิวเจอร์ ค่าเงิน หรือ Commodities ก็แล้วแต่ หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคุณแน่นอน ส่วนอีกเล่มที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือหนังสือที่สร้างชื่อให้เขามากที่สุดที่ชื่อว่า
Pit Bull : Lessons from Wall Street's Champion Day Trader ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวบนเส้นทางชีวิตการเป็นเทรดเดอร์อิสระของเขา ทั้งด้านความสำเร็จและความล้มเหลวให้เหล่ามือใหม่ได้เรียนรู้ก่อนลงสนามจริง
จุดเริ่มต้นของ Martin Schwartz 
หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย Schwartz เริ่มต้นการทำงานที่ US Marine Corp. หลัง จากนั้นเขาตัดสินใจลาออกไปเป็นนักวิเคราะห์ให้กับโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง ในช่วงที่เขาทำงานอยู่ เขาเริ่มเรียนรู้การลงทุนในตลาดหุ้น แต่เขาก็ประสบความล้มเหลวตลอดในช่วงเวลา 10 ปีแรก จนเกือบจะต้องล้มละลายในช่วงปี 1970  

หลัง จากนั้น เขาได้ค้นพบหนทางของตัวเอง คือหนทางในการเก็งกำไรโดยใช้เทคนิคคอล เขาค้นพบวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง จนในที่สุด เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานในขณะที่มีเงินเก็บทั้งหมด $110,000 เขาใช้เงิน $92,500 จ่ายเป็นค่าที่นั่งใน floor ที่ตลาด American Stock Exchange ทำให้เขาเหลือเงินเพียง $20,000 เขาจึงต้องหยิบยืมเงินจากคนอื่นอีก $50,000 ทำให้เขามีเงินในการเริ่มต้นเทรดทั้งสิ้น $70,000 

"ผมเริ่มต้นด้วยการขาดทุนในสองวันแรก ในการเทรด Option แต่หลังจากนั้นผมก็ทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง หลังจาก 4 เดือนแรก ผมได้กำไร $100,000 ครบปีผมทำเงินได้ถึง $600,000 และ $1,200,000 ในปีถัดมา"

"หลังจากนั้นผมตัดสินใจหันไปเก็งกำไรในตลาด future แทน ด้วยเหตุผลว่าตลาด option เริ่มเล็กไปสำหรับผมและผลประโยชน์ด้านภาษีในช่วงเวลานั้น การเทรด future ทำเงินให้ผมจาก $40,000 เป็น $20 ล้านในช่วงที่ผ่านมา โดยไม่เคยมีช่วงเวลา drawdown มากกว่า 3% นั่นเป็นสิ่งที่ผมภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก"

หลักการเทรดของ Schwartz คือ เขาจะพยายามทำกำไรให้เป็นบวกในทุกๆเดือน เขาเผยว่าเขาเคยพยายามที่จะทำกำไรให้ได้ทุกๆวัน และเขาก็พบว่ามันบ้ามากที่จะคิดแบบนั้น เพราะมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ในทุกเดือนเขาสามารถทำกำไรได้ประมาณ 90% ของจำนวนวันที่เทรดทั้งหมด ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา  

นอก จากนี้เขาได้พูดถึงสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ในตลาดขาดทุน ว่าเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ชอบที่จะเสียเงินมากกว่ายอมรับว่าตัวเองผิด พวกเขาต้องการจะปกป้อง ego ของตัวเอง แต่สำหรับ Schwartz เขาบอกว่าเขาสามารถทำกำไรจากตลาดได้ ตั้งแต่ที่เขาสามารถพูดกับไอ้เจ้า ego ของเขาว่า การทำเงินสำคัญมากกว่ามัน และเขาไม่มีวันยอมเสียเงินซักแดงเดียวเพื่อที่จะปกป้อง ego เด็ดขาด !!!!
  
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
ผม อยากจะให้มือใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในอาชีพนี้ทุกคน คิดและเชื่อว่าคุณทำได้ คุณสามารถประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์ได้มากกว่าที่คุณฝันไว้ เพราะนั่นมันเป็นสิ่งที่เกิดกับผม ผมมีอิสรภาพทั้งด้านการเงินและการใช้ชีวิต ผมอยากไปไหนก็ได้ที่ผมต้องการ ลูกๆ ของผมคิดว่าที่ทำงานของพ่อของพวกเค้า คือ บ้านของเรา 

สิ่ง ที่จะทำให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่ดีขึ้น คือ คุณต้องเรียนรู้ที่จะขาดทุน สิ่งสำคัญในการทำกำไรก็คืออย่าปล่อยให้การขาดทุนมันบานปลาย นอกจากนี้ อย่าพยายามเพิ่ม volume การเทรด จนกว่าคุณจะสามารถดับเบิลพอร์ตของคุณได้ คนส่วนใหญ่มักทำผิดพลาดโดยการพยายามเพิ่ม volume ใน การเทรดทันทีที่เขาเพิ่งเริ่มจะที่จะมีกำไร และนั่นเป็นหนทางแห่งหายนะที่ทำให้เค้าเหล่านั้นต้องเดินออกไปจากตลาดแห่ง นี้อย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ทำให้ Martin Schwartz ประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์ หลังจากล้มเหลวมานานกว่า 10 ปี นั้น ผู้เขียนเชื่อว่าเกิดจากปัจจัยที่สำคัญสองอย่าง อย่างแรก คือเขาค้นพบวิธีการที่เหมาะกับเขา ตลอดช่วงเวลาที่เขาขาดทุน เขาใช้การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานในการตัดสินใจเข้าเทรด จนเมื่อเขาได้รู้จักกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงทำให้เขาเริ่มทำกำไรได้ แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะดีกว่าการวิเคราะห์ ทางพื้นฐาน สิ่งสำคัญมันคือ การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีความเหมาะสมกับตัวตนของเขาต่างหาก!!!! ดังนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกที่คุณต้องมีก็คือคุณต้องหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวคุณให้เจอก่อน

สำหรับปัจจัยอย่างที่สอง ซึ่งเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของ Schwartz ก็ คือ การเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง เขาเริ่มประสบความสำเร็จในการเก็งกำไรหลังจากที่เขาต้องการทำเงินมากกว่า ต้องการที่จะเป็นฝ่ายถูก คนส่วนใหญ่ยินดีจะเสียเงินเพื่อจะเป็นฝ่ายถูก (คือเลือกที่จะไม่ cut loss) การเทรดของ Schwartz จึงออกมาในรูปแบบของการเน้นควบคุมความเสี่ยงเป็นสำคัญ เขาจะลด volume ในการเทรดหลังจากการขาดทุนอย่างมาก รวมถึงลด volume เท รดเช่นกันหลังจากได้กำไรมหาศาล เพราะเขามีประสบการณ์ขาดทุนอย่างมากหลังจากการได้กำไรก้อนโต เขาบอกว่าหลังจากการได้เงินหรือเสียเงินจำนวนมากๆ จะทำให้การควบคุมเกมส์การเทรดและการควบคุมอารมณ์ของเราสูญเสียไปบางส่วน การลด volume เทรดลงจะช่วยให้เรากลับมาอยู่ในเกมส์ของเรามากขึ้น           
   


ขอขอบคุณ  http://2binvestor.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Become a Trader

 Trader คงเป็นอาชีพที่หลายๆคนฝันถึงและอยากประสบความสำเร็จในด้านนี้ แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จ นั้นเป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า Trader ที่ประสบความสำเร็จนั้นมีเทคนิกหรือความลับอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้การ เคลื่อนไหวของราคาหุ้นล่วงหน้า ขอแค่เรารู้เหมือนเขาเราก็จะประสบความสำเร็จได้ แล้วเราก็เริ่มค้นหาความลับนั้น พอได้มา ก็ใช้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วก็เริ่ม ไม่ได้มากขึ้น แล้วก็ล้มเลิก หาวิธีใหม่ พอวนเวียนไปซักพักก็เลิกความพยายาม แต่หลายๆคนด้วยความอยากรู้ อยากได้ ก็ยังมองหาไปเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มเห็นว่ามันเป็นวิธีเดิมๆ ซ้ำกันไปซ้ำกันมา รู้แล้ว ใช้ไม่ได้หรอก คิดไปต่างๆนาๆ แล้วก็ติดกับทางด้านความคิด วนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่จบไม่สิ้น

    จริงๆแล้ว Trading เป็นเพียงแค่งานอีกสาขาหนึ่ง ที่คนที่จะประสบความสำเร็จ ต้องเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง ฝึกฝนจนชำนาญเป็นทักษะติดตัว ลองคิดดูนะครับว่า กว่าเราจะมาเป็นนักกฏหมาย นักบัญชี วิศวกร แพทย์ หรือ อื่นๆ เราต้องใช้เวลาเรียนรู้ฝึกฝนมากี่ปี แล้วนี้อาชีพ Trading ที่จะทำเงินได้มากมายใช้เวลาน้อยๆ มีอิสระ เราจะยอมทุ่มเทแค่ไหนเพื่่อให้ประสบความสำเร็จในด้านนี้ ถ้าหากเพื่อนๆ มาถูกทาง ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและมากพอ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปีจึงจะเรียกได้ว่าทำกำไรได้ แต่ถ้าจะเริ่มให้เชียวชาญจริงๆ อาจจะต้องผ่านร้อนผ่านหนาว มาไม่น้อยกว่า 5 ปี ถึงจะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ

    เราลองมาดูกันว่า เราควรจะต้องรู้ ต้องเข้าใจ และฝึกฝนอะไรบ้างถึงจะเป็น Trader ได้

    3M* - การจะเป็น Trader ที่ประสบความสำเร็จนั้น สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจก่อนเลยคือ เราต้องมี 3M อันประกอบไปด้วย 
  1. Method, วิธีการเทรดนั้นเราสามารถหาข้อมูลจากหนังสือหรือสถาบันต่างๆได้ไม่ยากนัก จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ Method คือการทำความเข้าใจตลาดว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน Technical Analysis หรือ Fundamental Analysis วิธีการต่างๆ เราต้องศึกษาให้เข้าใจว่ามันสามารถทำให้เราเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของตลาดและ ราคาของหุ้นได้อย่างไร อย่าศึกษาแบบจดจำมองหาทางลัดเป็นสูตรตายตัว เพราะตลาดไม่เคยหยุดนิ่ง เมื่อเราได้องค์ความรู้จนสามารถเข้าใจและอธิบายการเคลื่อนไหวของราคาได้แล้ว ช่วงเวลานี้อาจใช้เวลาไม่กี่วันจนถึงไม่กี่เดือน หลังจากนั้นเราต้องฝึกฝนเพื่อเปลี่ยนความรู้ที่เรามีให้กลายเป็นทักษะติดตัว ให้คิดง่ายๆเหมือนการวาดรูปเหมือน เรารู้ว่าแค่ต้อง วาดโครง เอาดินสอเขียนตามแบบที่เราเห็น เอาสีป้ายๆ ตรงนี้ดำ ตรงนี้แดง แต่พอให้เราลองวาดเอง ครั้งแรกๆ คงดูไม่ได้เลย แต่พอฝึกไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มมีทักษะและทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลา 6 เดือน - 2 ปี กันเลยทีเดียว แต่ให้อดทน เพราะผลตอบแทนมันคุ้มค่า อย่ามองหาทางลัด ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยนี้ คือ พวกเกมส์เทรดจำลอง (Simulation) หรือบัญชีกระดาษ บัญชีปลอม (Demo Account) จะทำให้เราสะดวกและเรียนรู้ได้เร็วขึ้น การจดและหัดทำสมุดบันทึกการเทรด (Trading Journal) ก็เป็นอีกเครื่องมือที่จะช่วยให้เราพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง วิธีการเทรดต่างๆ ถ้าเราฝึกฝนจนเข้าใจดีแล้ว ล้วนใช้ได้ผลทั้งนั้น มากน้อยแตกต่างกันไปตามวิธี ถึงเราจะมีวิธีที่ใช้ได้ผลสูงถึง 70-80% เราก็ยังไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เพราะ ไม่ว่าวิธีการจะดีเพียงใด ก็เป็นเพียงแค่ 10-20% ของความสำเร็จเท่านั้น
  2. Money, การควบคุมดูแลเงินทุนในบัญชี และการบริหารความเสียง, Money Management, เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาไปสู่การเป็น Trader ที่ประสบความสำเร็จ ผมให้น้ำหนักตรงส่วนนี้ 20-40%  ของความสำเร็จเลย ทีเดียว ลองคิดดูว่าถ้าเราเทรดได้กำไร 7-8 ครั้งใน 10 ครั้ง แต่ที่ขาดทุนเพียง 2-3 ครั้งนั้น รวมๆแล้วขาดทุนเท่ากับหรือมากกว่ากำไรที่ได้ 7-8 ครั้ง เราคงประสบความสำเร็จไม่ได้ แต่ถ้าเรารู้จักควบคุมความเสี่ยง ไม่ให้เสียมากเกินจำเป็น โดยเฉลี่ยแล้ว เราจะสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ ช้าบ้างเร็วบ้างแล้วแต่จังหวะราคาของตลาด Professional Trader บางคนเก็งกำไร แล้วขาดทุนบ่อยครั้งกว่าที่ได้กำไรมาก แต่โดยรวมแล้ว กับได้กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะ การกำไรของเขาแต่ละครั้ง สามารถชดเชยส่วนที่ขาดทุนที่ผ่านมากทั้งหมดได้ หรือหักล้างแล้ว ยังเลยกำไรอยู่อีกมากมายก็มี  Money Management ประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง แต่สิ่งที่สำคัญ 2 อย่างคือ Risk Management (การเก็งกำไรที่ดีควรมี Risk Reward Ratio ที่ดีกว่า 1:3 ในแต่ละครั้งของการลงทุน) และ Portfolio management (การเก็งกำไรที่ดี ต้องมีการจัดสรร เงินลงทุนในแต่ละจังหวะอย่างเหมาะสม)
  3. Mind, จิตใจ เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการลงทุน และเป็นจุดที่จะแยกแยะ ว่านักลงทุนจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่ ผมขอให้ความสำคัญในส่วนนี้ถึง 40-60% ของความสำเร็จ การจะมีจิตใจที่เป็นกลางพิจารณาข้อมูล สถานการณ์ต่างๆตามควาเป็นจริงไม่ใส่ความรู้สึกตัวเองเข้าไป ไม่ไขว้เขวไปกับความโลภและความกลัวที่เกิดขึ้นระหว่างการเทรด เป็นปัจจัยที่สำคัญมาก และไม่สามารถสอนกันได้ ต้องเกิดจากการฝึกฝนพัฒนาภาวะจิตใจอย่างต่อเนื่อง จึงจะทำให้ประสบความสำเร็จได้
    ถึงตรงนี้หวังว่าเพื่อนๆคงจะเข้าใจแนวทางคราวๆในการเตรียมตัวเป็น Trader บ้างไม่มากก็น้อย เมื่อเราผ่านกระบวนการต่างๆ เราจะได้ระบบในหารเทรดของตัวเราเอง หลังจากนั้นก็ฝึกฝนและพัฒนาไปในแนวทางนั้น เพิ่อนๆก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
 
 * 3M อ้างอิงมาจาก "Trading for a Living" เขียนโดย Alexander Elder
 
 
ขอขอบคุณ  https://sites.google.com/site/donkeytoni/become-a-trader

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Rodrigo Villela เทรดเดอร์ค่าเงินชาวเม็กซิโก

Rodrigo Villela นักธุรกิจชาวเม็กซิโก เขาเริ่มต้นเข้าสู่วงการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเหตุผลทางธุรกิจ เนื่องจากบริษัทของเขาเป็นธุรกิจนำเข้าส่งออกระหว่างประเทศ ทำให้มีรายรับและต้นทุนเป็นสกุลเงินต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาจำเป็นต้องใช้การซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าเพื่อกำหนดอัตราแลก เปลี่ยนที่เหมาะสมไว้ก่อน เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน (Hedging) ซึ่งจะมีผลต่อกำไรขาดทุนของบริษัทเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลัง จาก Rodrigo ศึกษาตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ไม่นาน เขาได้เริ่มเห็นโอกาสทำเงินในตลาดแห่งนี้ในฐานะตลาดแห่งการเก็งกำไรมากขึ้น และเนื่องจากเขาเคยเก็งกำไรในตลาดหุ้นและฟิวเจอร์มาก่อนทำให้เขาสามารถมอง เห็นอะไรบางอย่างในตลาดแห่งนี้ที่ตลาดหุ้นไม่มี ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจย้ายเข้าสู่การเก็งกำไรในตลาดค่าเงินอย่างจริงจัง เขาให้เหตุผลไว้หลายประการถึงความน่าสนใจในตลาดค่าเงิน

ข้อแรก ตลาด forex เป็นตลาดที่ใหญ่และมีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก เขากล่าวว่าเขาไม่ชอบการ day trade ในตลาดหุ้นเพราะมันมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก บางครั้งคุณก็จำเป็นต้องเทรดในหุ้นที่คุณไม่ต้องการ และเมื่อคุณซื้อหุ้น บางครั้งคุณก็จำเป็นต้องสนใจเรื่องของธุรกิจของหุ้นนั้นบ้าง เพราะการซื้อหุ้นคือคุณกำลังซื้อส่วนหนึ่งของธุรกิจ บางช่วงเวลามันแยกออกจากกันไม่ขาดจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่ราคามันไม่เป็นอย่างที่คุณคิด ดังนั้นการเก็งกำไรในตลาดหุ้นจึงเป็นให้เขาปั่นป่วนในบางครั้ง

ข้อสอง ในตลาด forex เราสามารถควบคุมความเสี่ยงได้มากกว่าตลาดหุ้น หากคุณมีการบริหารจัดการเงินทุนที่ดี ค่าเงินแม้จะผันผวนค่อนข้างมากเมื่อเราพิจารณาเป็น PIP หรือ point แต่มันไม่เคยเคลื่อนไหวเกิน 10% ในแต่ละวัน

ข้อสาม ในตลาด forex คุณสามารถ leverage เงินทุนได้เท่าที่คุณต้องการ นั่นมีความหมายมากทีเดียวสำหรับผู้ที่มีเงินทุนไม่สูงนัก ซึ่งสำหรับรายย่อยโบรกเกอร์บางแห่งให้ leverage ได้เป็น 1000 เท่า!! ว้าว แต่นั่นก็ทำให้มือใหม่หลายคนโลภได่เช่น จุดนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวัง สำหรับมือใหม่ที่แยกไม่ออกระหว่างการเก็งกำไรกับการพนัน

และข้อสุดท้าย ตลาด forex สามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าคุณไม่ต้องทนเห็นราคาเปิดกระโดดหรือตกฮวบ (Gap) ในช่วงตลาดเปิดของเช้าวันใหม่อย่างในตลาดหุ้น ยกเว้นในวันจันทร์หลังหยุดสุดสัปดาห์ เพราะบางครั้ง อาจมีข่าวแรงๆ หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดปิด ซึ่งเราไม่สามารถปรับพอร์ตได้ นั่นเป็นสิ่งที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย

สไตล์ในการเทรดของ Rodrigo
สำหรับ หลักการในการเก็งกำไร Rodrigo เปิดเผยว่า โดยส่วนตัวแล้วเขาใช้ทั้งเทคนิคคอลและปัจจัยพื้นฐานในการตัดสินใจเข้า order และเขาไม่คิดว่าการเลือกดูกราฟหรือปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียวนั้นจะ สามารถทำกำไรได้ในระยะยาว ซึ่งเขาจะใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในการมอนิเตอร์โอกาสในการเก็งกำไร และเลือกทิศทางตลาดที่จะเข้าเทรด

"ผมจะให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับข้อมูลและข่าวทุกอย่างที่บ่งชี้ถึง สภาพคล่อง ไม่ ว่าจะเป็น เงินในระบบเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยของประเทศนั้นๆ และอัตราดอกเบี้ยเปรียบเทียบประเทศอื่น รวมถึงผลตอบแทนพันธบัตร (yield curves) ฯลฯ หลังจากนั้น ผมจึงใช้เทคนิคคอลเพื่อหาจังหวะในการเข้าเทรด ผมจะไม่ใช้แค่กราฟเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อขาย เพราะว่าคุณไม่สามารถจะคาดการณ์อนาคตได้ด้วย indicator เท่านั้น ซึ่งหลังจากผมเลือกข้างโดยการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแล้ว ผมจะใช้เทคนิคคอลเพื่อหาราคาที่ดีที่สุดในการเข้า order และดูกราฟเพื่อจับจังหวะการเคลื่อนไหวของราคาเพื่อใช้ในการออกและ take profit เมื่อผมเห็นว่าราคาได้วิ่งมาไกลพอแล้ว ตรงจุดนี้กราฟสามารถแสดงให้คุณเห็นได้เป็นอย่างดี "

"และผมต้องขอบอก พวกคุณว่าคุณไม่สามารถนำระบบเทรดของคุณไปประยุกต์ใช้ในทุกๆตลาด ยกตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นเมื่อเปรียบเทียบกับ forex มันถือว่าเคลื่อนไหวช้ากว่ามาก คุณจำเป็นต้องวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นในมุมมองอื่นๆ เพราะหุ้นมันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของธุรกิจ ดังนั้น คุณจำเป็นต้องวิเคราะห์เศรษฐกิจทั้งตลาด จากนั้นจึงวิเคราะห์ตัวบริษัท สำหรับผมแล้ว การลงทุนในหุ้นนั้นมันง่ายกว่าเพราะอย่างน้อยคุณก็สามารถประเมินความถูกแพง ของหุ้นได้ แต่สำหรับค่าเงินนั้นมันไม่ง่าย !!!!"

นัก ลงทุนหลายๆคน พยายามมองการประเมินมูลค่าของค่าเงิน ให้เหมือนกับการประเมินมูลค่าหุ้น คือคิดว่าค่าเงินหนึ่งๆ เป็นตัวแทนของประเทศนั้นๆ แล้วพยายามจะประเมินความแข็งแกร่งของประเทศ แต่เชื่อผมเหอะ กับค่าเงินคุณมันไม่ได้อยู่ในวิถีที่คุณจะประเมินความสามารถในการทำกำไรของ ประเทศนั้นๆได้อย่างถูกต้องหรอก มันยากที่เราจะแกะภาพหามูลค่าของประเทศ ดังนั้น การลงทุนในตลาด forex มันจึงง่ายกว่าหากคุณใช้เทคนิคคอลในการหาจังหวะเข้า order ซึ่งสำหรับผม เขาจะสนใจปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อสภาพคล่องของค่าเงินเท่านั้น เขาจะไม่พยายามมองให้ประเทศ อยู่ในรูปของบริษัทที่ต้องแสวงหากำไร เพราะมันไม่ใช่!!!

คู่เงินที่เลือกเก็งกำไร
Rodrigo เผยว่าเขาจะเทรดเฉพาะค่าเงินเปโซเม็กซิกันเท่านั้น เพราะเหตุผลเรื่องธุรกิจส่งออกของเขา และเขาเข้าใจพฤติกรรมของมันเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังคงติดตามค่าเงินอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย

เทรดทุกวันหรือไม่
Rodrigo บอกว่าเขาติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดค่าเงินมาตังแต่ 1998 และหลงรักมัน เขาจึงมักเข้าซื้อขายแทบทุกวันสำหรับพอร์ตส่วนตัว แต่พอร์ตของบริษัทส่งออกของเขาจะซื้อขายเฉพาะเมื่อเห็นโอกาสหรือเมื่อบริษัท จำเป็นต้องประกันความเสี่ยงจริงๆ เท่านั้น

"สิ่งที่ผมบอกคุณได้ มันคือความหลงไหล ตั้งแต่ผมเริ่มเทรดมา ผมก็มักจะพยายามเปิด position ในตลาดหนึ่งตลาดใดอยู่เสมอ"

คุณคิดว่าคุณเป็นเทรดเดอร์ที่มีวินัยไหม?
Rodrigo บอกว่าเขาคิดว่าเขาเป็นเทรดเดอร์ที่มีวินัยสูงมาก ไม่ใช่แค่ในเรื่องของการเทรด แต่ในทุกมุมของชีวิต เขาคิดว่าเทรดเดอร์ที่ต้องการจะประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีวินัย เขาเชื่อว่าไม่มีใครสามารถได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตได้ด้วยตัวเอง หากปราศจากชีวิตที่ดำรงอยู่ด้วยวินัย ในเรื่องของการเทรดก็เช่นกัน การเทรดของเขาจึงดำเนินไปด้วยวินัยอย่างเคร่งครัด จนมันกลายเป็นเหมือนเครื่องจักร กลายเป็นกิจวัตร เขาจะไม่เทรดโดยใช้อามรมณ์ หรือความตื่นเต้น แต่เขาจะเทรดก็ต่อเมื่อทุกอย่างมันถูกต้องเป็นไปตามระบบเท่านั้น
ข้อแนะนำสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่
คุณ ต้องจินตนาการว่าคุณกำลังขับรถแข่งกับนักขับคนอื่นๆ อีกนับพัน ส่วนนึงในนั้นเป็นสุดยอดนักขับของโลก พวกเขามีพรสวรรค์และมีเครื่องยนต์สุดไฮเทค โดยการแข่งขันเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืนท่ามกลางหมอกที่ลงจัด นี่คือสิ่งที่ดีมากสำหรับคุณที่จะจินตนาการได้ว่า FX คืออะไร เทรดเดอร์ทุกคนอยู่ในสนามแข่ง และต้องการจะเป็นผู้ชนะ แต่ถ้าคุณขับรถเร็วเกินไป คุณก็จะไม่ได้อยู่ในสนามแห่งนี้นานนักหรอก

ถ้า คุณหวังจะเทรดเป็นอาชีพหลัก จำไว้ว่าคุณจำเป็นต้องอุทิศส่วนนึงที่สำคัญในชีวิตคุณเพื่อที่จะทำมัน นี่มันคือธุรกิจในระยะยาว พยายามทำให้มันง่ายซะและอย่าพยายามเสี่ยงมากเกินไป ถ้าคุณยังเป็นนักศึกษา ตั้งใจเรียนซะ โดยเฉพาะวิชาเลข สถิติ เศรษฐศาสตร์มหภาค ทฤษฎีเกี่ยวกับการเงิน และทุกๆอย่างที่จำเป็นที่จะทำให้คุณเข้าใจกลไกของตลาด อ่านและวิเคราะห์ให้มากๆ ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรด และที่สำคัญ อย่าเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

สุด ยอดเทรดเดอร์จะมีความเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงอย่างลึกซึ่ง เขาสามารถคำนวณและรักษาระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมในทุกๆการเทรด ดังนั้น คุณต้องเริ่มเทรดด้วยจำนวนเงินน้อยๆก่อน แล้วค่อยๆทบต้นมันขึ้นไป นี่คือหนทางที่จะทำคุณได้มีอิสรภาพทางการเงิน

บทเรียนสำคัญที่ได้จากการเทรด forex ?
Rodrigo บอกว่ามัน ดีที่จะเป็นฝ่ายถูก แต่แม้คุณจะเล่นถูกทางคุณก็อาจขาดทุนได้ คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองต่อตลาดทันทีที่ sentiment ตลาดเปลี่ยน ในที่สุดแล้ว มันไม่สำคัญว่าคุณจะถูกหรือผิด แต่มันอยู่ที่ว่าคุณกำไรหรือขาดทุนมากกว่า

มัน คือความอ่อนน้อมถ่อมตัวให้กับตลาด "ผมเรียนรู้ว่าเราไม่สามารถมั่นใจมากเกินไปเกี่ยวกับสิ่งที่เรารู้ ผมต้องต่อสู้กับตัวเองทุกๆวันเพื่อที่จะเป็นคนถ่อมตัวที่มีความอดทน พยายามมองหาเบาะแสที่จะบอกผมเกี่ยวกับทิศทางตลาด พยายามเก็บความโลภและความปรารถนาอย่างอื่นให้อยู่ในความควบคุมของผม ต่อสู้กับตัวเองเพื่อที่จะตระหนักและใส่ใจถึงความเสี่ยง เพื่อที่จะตระหนักถึงความโชคดีในชีวิตและในตลาด เพื่อที่จะเชื่อมั่นถึงความจริงที่อยู่เบื้องหลังกฎเกณฑ์ที่แน่นอน และเหนือสิ่งอื่นใดคือต่อสู้เพื่อที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องไม่ว่ามันจะส่งผล ต่อผมยังไงก็ตาม " 
 
 
ขอขอบคุณ  http://2btrader.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คุณอยากเป็นเทรดเดอร์ จริงหรือ???

ผู้คนส่วนใหญ่ทึ่งและสนใจในความคิด " การทำเงินล้านภายในเสี้ยววินาที " โดยสามารถทำงานอยู่ที่บ้านหรือสถานที่ที่เขาต้องการ ไม่ต้องเสียเวลากับการเดินทาง ไม่มีเจ้านายคอยออกคำสั่ง ไม่มีกำหนดเวลางาน ไม่มีเพื่อนร่วมงานที่น่ารำคาญรบกวนจิตใจ ไม่มีลูกค้าคอยเรียกร้องสิทธิ์ต่าง ๆ ...และตารางงานต่าง ๆ ที่ต้องทำ

เทรดเดอร์อิสระ

บ่อยครั้งผู้คนฝันถึงการอยู่ในสถานที่แปลกใหม่ ทำการเทรดไม่กี่ชั่วโมงต่อวันในตอนเช้า และสนุกกับชีวิตในช่วงเวลาที่เหลือ

แม้ว่าอาจจะเป็นความจริงสำหรับเทรดเดอร์บางส่วน แต่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ยังห่างไกลจากความเป็นจริงนี้ พวกเขายังต้องทุ่มเททั้งเวลาและจะต้องสูญเสียเงินจำนวนมาก และยังคงหมกมุ่นอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน (อาจจะมากกว่าเวลาของการทำงานประจำเสียอีก) และบัญชีเทรดยังคงไม่เติบโต ในความเป็นจริง สามารถกล่าวได้ว่า
เทรดเดอร์ส่วนใหญ่สูญเสียเงินให้กับตลาด

หากคุณต้องการอยากเป็นเทรดเดอร์แล้วหละก็ คุณจะต้องพร้อมที่จะทุ่มเททั้งเวลา เงินทุน และ
ความพยายามที่จะเรียนรู้วิธีการที่จะเทรดเดอร์

คุณจะไม่มีทางเป็นเทรดเดอร์ที่ สำเร็จได้ภายในช่วงเวลาข้ามคืน ในช่วงเริ่มต้นของการเป็นเทรดเดอร์มือใหม่ เทรดเดอร์จะประสพกับความเหน็ดเหนื่อยและผิดหวัง ผลลัทธ์จะไม่สอดคล้องกับความพยายาม นั่นคือเหตุผลที่เทรดเดอร์มือใหม่ส่วนใหญ่ล้มเลิกกลางคัน



คุณอยากเป็นเทรดเดอร์ จริงหรือ???


การเทรด คือ
ธุรกิจ มันคือ อาชีพ และต้องใช้เวลาเพื่อเรียนรู้ในการเทรด

หากใครบอกความจริงนอกเหนือจากนี้ เขาโกหกคุณ ขออภัย หากคุณคิดว่าใช้คำรุนแรง นี่คือ
ความจริง!!!

คุณไม่สามารถเพียงแค่ชื้อ "
ระบบเวทย์มนต์" ที่จะเสกเงินให้คุณภายในช่วงเวลาข้ามคืน มันไม่มีอยู่จริง

ในความเป็นจริง คุณต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนก่อนจะทำกำไรเป็นกอบเป็นกำเป็นครั้ง แรก และช่วงแรกคุณอาจจะสูญเสียเงินบางส่วน แม้ว่าคุณจะเตรียมพร้อมรับมือมาอย่างดี เพราะว่าเมื่อทำการซื้อขายนั้น มีความเสี่ยงต่อการสูญเสียอยู่เสมอ


แต่ แนวทางดังต่อไปนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณเป็นนักเทรดที่ดี :



ขั้นตอนที่ 1 ตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง


นี่ คือ ปัญหา :

เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะทะเยอะทะยานตั้งเป้าหมายที่เกินจริง พวกเขาเริ่มต้นด้วยเงิน 5000$ ในบัญชี และคาดหวังทำเงินให้ได้ 5000$ ภายในเดือนแรกของการเทรด ไม่น่าแปลกใจที่เทรดเดอร์มือใหม่มักจะล้มเหลว

โฟกัสเป้าหมายที่น้อยลง แต่ทำกำไรสม่ำเสมอ !


การเทรด คือ ความเสี่ยงและการทำกำไร ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ผลกำไรสูงขึ้น หรือใน "ภาษาเทรดเดอร์" ขนาดของความสูญเสียมากกว่า ทำให้กำหนดเป้าหมายกำไรที่สูงขึ้น


ยกตัวอย่างเช่น อัตราส่วน กำไร/ความเสี่ยง ที่เหมาะสม คือ 1.5 ต่อ 1 หมายความว่า คุณจะต้องเสี่ยงเงิน 100$ เพื่อทำกำไร 150$  หากคุณเริ่มต้นด้วยเงินในบัญชีเทรด 5000$ คุณสูญเสีย 100$ ประมาณ 2% ของเงินทั้งหมด แน่ใจว่าคุณเคยได้ยินเกี่ยวกับ "
กฎความเสี่ยง 2%" ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและเทรดเดอร์ที่เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มักจะแนะนำมัน


ตอนนี้ขอบอกว่าคุณมีโอกาสในการเทรดอื่น ๆ ระบบการเทรดของคุณชนะประมาณ 50% ในระยะยาวคุณสามารถคาดหวังได้ว่าโอกาสในการเทรดทำกำไรเท่ากับการสูญเสีย


ยกตัวอย่างเช่น คุณเทรด 10 ครั้ง ชนะ 5 ครั้ง และสูญเสีย 5 ครั้ง


ดังนั้น คุณจะทำเงิน  750
$ เมื่อเทรดได้ (5 * 150$) และสูญเสีย 500$ เมื่อคุณเทรดเสีย (5 * 100$) กำไรขั้นต้นของคุณหลังจากที่เทรด 10 ครั้งเท่ากับ 250$ หักค่าคอมมิชชั่นประมาณ  50$ - 70$ (หรือน้อยกว่านี้) สำหรับเทรด 10 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์และตลาดการเทรดของคุณ

ดังนั้นกำไรสุทธิของคุณหลังจากที่เทรด 10 ครั้ง ประมาณ180
$ - 200$


คำถามต่อมา จะต้องทำการเทรดปริมาณเท่าไหร่???



ถ้าคุณเทรด 10 สัญญาต่อสัปดาห์ คุณสามารถคาดหวังผลตอบแทนรายสัปดาห์ของ 180 - 200
$ ด้วยเงินในบัญชีจำนวน 5,000$

ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ
!

ลองคิดดู ด้วยกลยุทธ์การเทรดเช่นนี้ คุณสามารถคาดหวัง 
720$ - 800$ ต่อเดือน ด้วยเงินทุน 5,000$ เป็นเงินจำนวนมากเติบโตถึง 14%-16% ต่อเดือน


โปรดระลึกไว้ด้วยว่าคุณมีโอกาสสูญเสียเงิน


ขอพูดถึงการสูญเสีย : 

หากคุณเทรดเสีย 10 ครั้ง คุณจะสูญเสีย 1,000
$ เนื่องจากคุณเสี่ยง 100$ ต่อการเทรด นั่นคือ 20% ของบัญชีของคุณ โอ้!


ด้วยสัตย์จริง หากคุณสูญเสีย 10 ครั้งต่อเนื่อง คุณควรหยุดการเทรดทันที เพราะโอกาสในการสูญเสีย 10 ครั้ง เมื่อเทรดชนะ 50% เท่ากับสูญเสียน้อยกว่า 0.1%



สรุป



ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นการเทรด คุณจำเป็นต้องรู้ถึงสิ่งที่คาดหวังจากการเทรด


กำหนด เป้าหมายที่สมจริง และเข้าใจความเสี่ยงในการเทรด ตั้งเป้าหมายที่เล็กลง อย่าเอื้อมดวงดาว พยายามทำเงิน 100$ ต่อสัปดาห์ ด้วยเงินทุน 5,000$ (หรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับตลาด) ถึง 400$ ต่อเดือน  หรือผลตอบแทน 8% ต่อเดือน

คุณอาจจะไม่บรรลุ เป้าหมายในทุก ๆ สัปดาห์ บางสัปดาห์อาจจะเทรดเสียและสูญเสียรายได้บางส่วน แต่ในระยะยาวคุณจะเห็นบัญชีที่เติบโต ด้วยการจัดการความเสี่ยงและการจัดการเงินที่เหมาะสม คุณสามารถควบคุมความเสี่ยงในขณะที่บัญชีการเทรดกำลังเติบโต



ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ การหากลยุทธ์การเทรดที่โอกาสชนะ 50% ในขณะที่บรรลุ
อัตราส่วน กำไร/ความเสี่ยง ที่เหมาะสม คือ 1.5 ต่อ 1

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ผมไม่เคยเจอนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ!

เห็นคนส่วนใหญ่ชอบพูดกันว่าไม่เห็นมีใครรวยจากการดูกราฟหรือใช้เทคนิค บทความนี้ขอเขียนเป็นข้อมูลให้กับคนที่ชอบพูดว่าเขา “ไม่เคยเจอกับนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ (ในระยะยาว)” ใครเจอที่ไหนก็ช่วยเอาไปแปะให้เขาอ่านหน่อยแล้วกันครับ ^_^

ถ้าการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคได้ผลจริง แล้วทำไมยังไม่เห็นมีนักเทคนิคคนใดประสบความสำเร็จสักคน?

ก่อนจะเข้าเรื่องขอให้ทำความเข้าใจกันสักนิดนึงก่อน นั่นคือผมคิดว่าคำว่า “ความสำเร็จ” อาจไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงเบอร์ 1 ของโลกนี้ก็ได้ และผมเห็นว่าเบอร์ 1 ไม่เคยมีอยู่จริง มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเสมอ (ยกตัวอย่างเช่น นักเก็งกำไรนั้นเสียงดังมากๆในยุคของลิเวอร์มอร์) นอกจากนี้แล้วความสำเร็จยังอยู่ที่ Benchmark ในการวัดผลของแต่ละคนด้วย คุณไม่จำเป็นต้องมองแต่คนที่มีเม็ดเงินสูงสุดเพียงอย่างเดียว ผมคิดว่าผลของการลงทุนมันมีหลายมิติ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงมีอัตราส่วนทางการเงินในหลายๆรูปแบบเพื่อวัด ผลในการลงทุนของเรานั่นเองครับ
เอาล่ะครับ! หลังจากที่ผมลองนึกถึงนักเก็งกำไรชื่อดังต่างๆ รวมถึงลองค้นจากใน Google สักเพิ่มเติมอีกสักหน่อย รายชื่อของนักเก็งกำไรหลายๆคนก็เริ่มที่จะปรากฏขึ้นมาใน List ของผมจนเยอะพอสมควรแล้ว ไอ้ครั้นจะให้ผมเขียนถึงทุกคนก็คงไม่ไหว ในเบื้องต้นแล้วผมจึงขอเอาสัก 10 ชื่อเบิ้มๆตามมาตรฐานความร่ำรวยที่ได้รับการเปิดเผยก่อนแล้วกัน โดยในที่นี้ขอนำมาเฉพาะ Trader ที่มีหลักฐานว่าเขาใช้หลักการของ Technical Analysis หรืออาศัยสมมติฐานของค่าทางการเงินที่ได้จากการศึกษาข้อมูลสถิติในอดีตมาใช้ พิจารณาในการเก็งกำไรกัน (เช่น ราคาหุ้น, ความผันผวนของหุ้น หรือผลตอบแทนของตลาด) ขาดตกอีกหลายๆชื่อไปต้องขอโทษด้วยครับ

นักเก็งกำไรในตำนานยุคเก่า

homma munehisa thumb ผมไม่เคยเจอนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ!
1. Munehisa Homma บิดาแห่งกราฟแท่งเทียน
Homma ผู้นี้เป็นตำนานของเหล่าผู้ใช้กราฟแท่งเทียน มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆจากความเก่งกาจและร่ำรวยของเขาในช่วงศตวรรษที่ 17 โดยว่ากันว่าหากนำทรัพย์สมบัติที่ได้จากการเก็งกำไรของเขามาตีค่าออกเป็น มูลค่าของเงินในปัจจุบันแล้ว เขาจะมีทรัพย์สินอยู่ราวหนึ่่งแสนล้านดอลลาร์ (100 Billion) เลยทีเดียว สำหรับความยิ่งใหญ่ของเขานั้นว่ากันว่าชาวบ้านชาวเมืองแถวนั้นถึงกับเอาความ สำเร็จของแกไปแต่งเป็นเพลงพื้นบ้านเลยทีเดียวครับ
Livermore  thumb ผมไม่เคยเจอนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ!2. Jesse Livermore หมีใหญ่แห่ง WallSt.
ตำนานแห่ง Wallstreet ที่เคยเขย่าตลาดหุ้นจนได้รับฉายาว่า Boy Plunger โดยในช่วงที่ชีวิตของเขาประสบความสำเร็จนั้นเขามีทรัพย์สินอยู่ถึงราว 100 ล้านเหรียญ (หรือราว 2.3 Billion ในปัจจุบัน) แต่ด้วยปัญหาทางด้านสุขภาพจิตและชีวิตส่วนตัวที่รุมเร้า เขาจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายโดยเหลือทรัพย์สินติดตัวเพียง 5 ล้านเหรียญเท่านั้น อย่างไรก็ตามแนวคิดต่างๆของเขาได้กลายเป็นรากฐานสำหรับนักเก็งกำไรทั่วโลกจน ถึงปัจจุบัน

สุดยอดนักเก็งกำไรในยุคปัจจุบัน

james simons thumb ผมไม่เคยเจอนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ!3. James “Jim” Simon ผู้ก่อตั้งกองทุน Hedge Funds – Renaissance Technologies 
คุณลุงคนนี้ถือได้ว่าเป็นสุดยอด Trader และนักคณิตศาสตร์ของโลกคนหนึ่ง เพราะเขาได้เป็นผู้ร่วมคิดค้นทฤษฏี Chern-Simon Theory ไว้ในวงการคณิตศาสตร์เอาไว้ด้วย (ใครสงสัยว่ามันคืออะไรลองค้นใน Wikipedia ดูนะครับ) ฉายาของแกก็คือ “King of Quant” นั่นเอง
  • ทรัพย์สิน : 10.7 Billion
  • รูปแบบการลงทุน : High Frequency Trading (HFT)
  • สถิติที่น่าสนใจ  : ปัจจุบัน Medallion Fund มี CAGR ที่สูงกว่า 35% ต่อปี (หลังหักค่าบริหาร) มาตั้งแต่ปี 1990

Steve Cohen  thumb ผมไม่เคยเจอนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ!4. Steve A. Cohen ผู้ก่อตั้งกองทุน Hedge Funds – SAC Capital
เขาคือเจ้าพ่อตลาดหุ้นและจ้าวแห่งศาสตร์ “Tape Reading” หรือการอ่านโวลุ่มการซื้อขายที่เกิดขึ้นในระยะสั้นถึงขนาดได้ฉายาว่าเป็น “Jesse Livermore” ในยุคปัจจุบันเลยทีเดียว น่าเสียดายว่าเขาเป็นคนที่เก็บตัวเป็นอย่างมากเราจึงไม่มีข้อมูลส่วนตัวหรือ วิธีการเก็งกำไรของเขาสักเท่าไหร่นัก
  • ทรัพย์สิน : 8.3 Billion
  • สไตล์การลงทุน : Tape Reading
  • สถิติที่น่าสนใจ : CAGR เฉลี่ยตั้งแต่ปี 1992 – 2008 อยู่ที่ราว 40% ต่อปี

Bruce Kovner  thumb ผมไม่เคยเจอนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ!5. Bruce Kovner ผู้ก่อตั้งกองทุน Hedge Funds – Caxton Associate
เขาคือผู้เยี่ยมยุทธ์ในวงการ Global Macro Funds สายเลือด Trend Following ผู้เป็นลูกศิษย์ของ Micheal Marcus (ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ Ed Seykota อีกทีหนึ่ง) ใครที่สนใจถึงแนวคิดหรือประวัติของเขาลองหาอ่านบทสัมภาษณ์ที่เคยถูกตีพิมพ์ ไว้ในหนังสือ Market Wizard โดย Jack Schwager ได้เลยครับ
  • ทรัพย์สิน : 4.5 Billion
  • สไตล์การลงทุน : Global Macro – Trend Following
  • สถิติที่น่าสนใจ : ในช่วงยุค 80 กองทุนของเขามี CAGR ย้อนหลัง 10 ปีอยู่ที่ 87%/ปี

Paul Tudor Jones  thumb1 ผมไม่เคยเจอนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ!6. Paul Tudor Jones ผู้ก่อตั้งกองทุน Hedge Funds – Tudor Investment Corperation
จากบทสัมภาษณ์ของเขาในหนังสือ Market Wizard เขาเชี่ยวชาญเทคนิคการเก็งกำไรแบบ Swing Trading เป็นอย่างมาก (เล่นสั้น – เล่นรอบ) เขาเป็นพวกชอบเล่นกับจุดกลับตัวของตลาด และเป็นถือเป็นนักเก็งกำไรที่มีความ Aggressive และมีสัญชาติญาณที่สูงเป็นอย่างมาก (แหกปากตะโกนตลอดเวลาว่างั้นเลย หุหุ)
  • ทรัพย์สิน : 3.4 Billion
  • สไตล์การลงทุน : Contrarian – Swing Trading
  • สถิติที่น่าสนใจ : กองทุนเคยมีผลตอบเฉลี่ยต่อปีสูงกว่า 99% ถึง 5 ปีติดกัน

david shaw  thumb2 ผมไม่เคยเจอนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ!7. David Shaw ผู้ก่อตั้งกองทุน Hedge Funds – D.E. Shaw&Co.
Computer Scientist ผู้นี้คือผู้ที่มองเห็นโอกาสสร้างความมั่งคั่งจากตลาดด้วยการบุกเบิกการเก็ง กำไรในสไตล์ High Speed Quantiative Trading คนต้นๆของวงการตั้งแต่ช่วงปี 2001 เลยทีเดียว และเขายังเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งที่ได้รับฉายาว่า “King Quant” โดยนิตยสาร Fortune Magazine โดยในปัจจุบันนี้ Shaw เริ่มหันเหตนเองไปทำ Research ในสาย Computaional Biochemistry ด้วยความชอบของตนเองอย่างเต็มตัวเรียบร้อยแล้ว
  • ทรัพย์สิน : 3 Billion
  • สไตล์การลงทุน : High Speed Quantiative Trading
  • สถิติที่น่าสนใจ : เขาเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประธานาธิบดีคลินตันและโอบามา

Stanley druckenmiller  thumb1 ผมไม่เคยเจอนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ!8. Stanley Drunkenmiller – ผู้ก่อตั้งกองทุน Dunquesne Capital
ลูกหม้อคนสำคัญของ Gorge Soros ในยุค 90 ก่อนที่จะออกมาก่อตั้งกองทุนของเขาเอง วีรกรรมสำคัญของเขาก็คือการร่วมกันกับ Soros ถล่มธนาคารแห่งชาติของประเทศอังกฤษเสียจนเละด้วยการขายชอร์ททุบเงินปอนด์ใน ปี 1992 และโกยกำไรไปกว่า 1 Billion ไปในคราวเดียว เขามักใช้การอ่านกราฟมาช่วยในการหาจังหวะเวลาในการเดิมพัน และเชื่อในหลักของการรักษาเงินต้นและการทำโฮมรัน
  • ทรัพย์สิน : 2.5 Billion
  • สไตล์การลงทุน : Top-Down Trading
  • สถิติที่น่าสนใจ : กองทุนของเขามี CAGR ภายใน 12 ปีอยู่ที่ 37% ก่อนที่จะปิดตัวลง

David Harding  thumb3 ผมไม่เคยเจอนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ!9. David Harding ผู้ก่อตั้งกองทุน – Winton Capital Management
เขาคือผู้ที่ประกาศว่าตนเองคือ “Systematic Trend Follower” หรือนักเก็งกำไรตามแนวโน้มตัวจริง โดยเขาจะทำการลงทุนอย่างเป็นระบบตามที่งานวิจัยของเขาได้บ่งชี้เอาไว้เท่า นั้น และเขายังเคยให้สัมภาษณ์ต่อหน้าพิธีกรรายการทีวีของ CNBC ไว้ด้วยซ้ำว่า “ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตลาด ผมไม่รู้ และผมไม่รู้จริงๆ เพราะผมไม่ได้มีญาณที่จะไปหยั่งรู้ได้!” … ไม่กลัวโดนถอนเงินออกจากกองทุนเลยน้าา อิอิ
  • ทรัพย์สิน : 1.3 Billion
  • สไตล์การลงทุน : Systematic Trend Following
  • สถิติที่น่าสนใจ : ตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1997 เขามีผลตอบแทนติดลบเพียงปีเดียว

John Henry liverpool thumb3 ผมไม่เคยเจอนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ!10. John W. Henry ผู้ก่อตั้งกองทุน J.W. Henry&Company และเจ้าของทีม Liverpool ในปัจจุบัน
John เริ่มต้นสะสมความมั่งคั่งมาจากการเป็นนักเก็งกำไรในตลาด Futures ก่อนที่จะเข้าเป็นเจ้าของทีม Boston Redsox และ Liverpool ที่แฟนบอลคนไทยหลายๆคนเป็นสาวกกัน เขาเป็นนักเล่นหุ้นแบบ Systematic Trend Following อีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากโดยใช้เวลาไม่นานนัก
  • ทรัพย์สิน : 1.1 Billion
  • สไตล์การลงทุน : Systematic Trend Following
  • สถิติที่น่าสนใจ : ในอดีตเขานำผลกำไรที่ได้จากการเก็งกำไรในรูปแบบของ Trend Following กว่า 700 ล้านเหรียญไปต่อยอดซื้อทีม Boston Redsox

* ผมพยายามยกมาให้มันครบๆเหล่าของแนวทางการใช้เทคนิคแต่ละแนวนะครับ ส่วนที่ว่า Soros ทำไมไม่ติดโผบ้าง เพราะเท่าที่เคยศึกษาแกไม่ได้ดูกราฟเท่าไหร่ครับ
** ขอขอบคุณที่มาของมูลค่าทรัพย์สินจากรายงานของนิตยสาร Forbes ในเดือนมีนาคม 2012

องค์ประกอบร่วมของนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ

ขอแถมอีกนิดเนื่องจากว่าผมได้เคยศึกษาข้อมูลของนักเก็งกำไรระดับ Billionaire เหล่านี้มาบ้างจึงพอที่จะเห็นปัจจัยบางอย่างที่คล้ายๆกันดังนี้ครับ
  • พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็น Self-Made Billionare
  • มักใช้ระบบการลงทุนในการซื้อขายโดยอัตโนมัติหรือใช้คอมพิวเตอร์ในการให้สัญญาณซื้อขาย
  • มีกฏในการเก็งกำไรที่ชัดเจนมากๆและปฏิบัติตามอยู่เสมอ
  • มีแนวทางหรือระบบการลงทุนเป็นของตนเอง (ค้นคว้าด้วยตนเอง)
  • ส่วนใหญ่ทำการ Backtest ทดสอบระบบการลงทุนของพวกเขาย้อนหลังเป็นอย่างดีเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะนำมาลองใช้จริงในตลาด
  • ตรวจสอบและประเมิณสุขภาพของระบบหรือผลการลงทุนของพวกเขาอยู่เสมอ
  • พวกเขามักเริ่มต้นด้วยการขาดทุนหนักๆในปีแรกๆก่อนที่จะกลับมาทำกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำได้
  • มักใช้ “ตัวคูณ” ในการสร้างความร่ำรวยด้วยการตั้งกองทุนของพวกเขาขึ้นมา
  • แต่ละคนมีแนวทางหรือระบบการลงทุนที่เหมาะสมกับจริตของตนเอง
  • หลักการรักษาเงินต้นคือกฏข้อแรก พวกเขาจะนึกถึงความเสี่ยง “ก่อน” เสมอ
  • มีการควบคุมอารมณ์หรือจิตวิทยาการลงทุนได้อย่างดีเยี่ยม
  • สิ่งสำคัญไม่ใช่กราฟ แต่เป็นความเข้าใจถึงความเสี่ยง, ผลตอบแทนและความน่าจะเป็น
… 9ล9 
ขอขอบคุณ  http://www.mangmaoclub.com

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

กฎของ LARRY WILLIA

1. ความอยู่รอดคือจุดเริ่มต้น การเก็งกำไรเป็นธุรกิจที่เสี่ยงสูงมากๆ มันไม่เกี่ยวว่า เราจะชนะ หรือแพ้ มันเกี่ยวกับคำว่าเราจะอยู่รอดอย่างไร เมื่อตลาดอยู่ที่จุดต่ำๆ หรือจุดสูงๆ ถ้าคุณอยู่รอดไม่ได้ คุณไม่สามารถชนะได้

อย่างแรกสุดของการอยู่รอด คุณต้องมีแนวทาง หรือวิธีการเก็งกำไรที่ทำได้จริง

ข่าวลือ วงใน ความรู้สึกไม่ใช่แนวทางการเก็งกำไร โอกาสหรือพื้นที่ในการเก็งกำไรจะมาจากความจริงที่สามารถทำได้จริง

นักเก็งกำไรระยะสั้น และระยะยาวอาจมีแนวทางการทำกำไรต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือวิธีการ และเครื่องมือที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริง

นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้เวลาเยอะมากในการซื้อ laptop แต่ตัดสินใจเร็วมากในการวางเงินเดิมพันจริงๆ ในตลาดทุน

ปัญหาโดยทั่วไป คือมีเทคนิคเยอะมากที่มันใช้ทำเงินจริงๆไม่ได้ เขาแนะนำได้อย่างนึงคือ คุณต้องใช้เวลาให้มากหน่อยในการเรียนรู้ และตัดสินใจในการเข้าเก็งกำไร ในช่วงวิกฤตต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คุณจะมี การบริหารเงินที่ดี MM มีระบบที่ดี มีรูปแบบการเก็งกำไรที่ทำได้จริง แต่คุณก็ยังต้องควบคุมตัวเองให้ได้อยู่ดี

2. ทั้งหมดนี้ มันคือเกมส์ของอารมณ์ และมันจะเป็นไปตลอด อะไรก็แล้วแต่ที่มันเกี่ยวข้องกับเงิน และยิ่งเป็นเงินของเรา มันทำให้เราตัดสินใจอย่างไร้เหตุผล ความกลัว อารมณ์ต่างๆทำให้นักเทรดเดอร์ทั้งหลายพลาดกับการลงทุนที่ดี หรือเขาเดิมพันที่สูงมาก เมื่อการบริหารเงินถูกคอบงำโดยอารมณ์ โดยปราศจากเหตุผล

3. ความโลภ เมื่อความโลภมีผลต่อเรามากกว่าความกลัว มาดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อคุณเป็นนักเก็งกำไร คุณจะมีความกลัวลดลงกว่าคนทั่วไป เพราะคุณถูกดึงดูดในเรื่องการทำเงินให้ได้ ในขณะที่คนอื่นจะกลัวการขาดทุน
ความโลภเป็นอุปสรรคต่อนักเทรดทั่วไป ความโลภจะทำให้คุณมีความหวังหลงเหลือ ความโลภจะทำให้คุณผลีผลามเข้าในจังหวะที่เสียเปรียบ และออกเร็วเกินไป ความหวังคือศัตรูตัวหลักเพราะมันทำให้คุณฝันถึงกำไรมหาศาล
และออกไปสู่โลกแห่งความฝัน เชื่อผมเถอะ !!! โลกของการเก็งกำไร มันมีจริง และคนมากมายศูนย์เสียเงินที่ตัวเองเก็บมาทั้งชีวิต ชีวิตคู่พัง ครอบครัวแตกแยก จากการได้เสียอย่างมากมายในตลาดนี้

แน่นอน การชนะของเราที่เกิดจากการเก็งกำไร อาจจะชั่วครั้ง ชั่วคราว มันพร้อมจะจากเราไป เหมือนกับเราถูกฟ้องล้มละลาย หรือโกงเลยทีเดียว

ผมไม่สามารถบอกวิธีที่แน่นอนในการจัดการกับความโลภได้ แต่สิ่งที่ผมบอกคุณได้อย่างเดียวคือ คุณต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ไม่งั้นคุณจะไม่มีทางรอดจากตลาดแน่นอน

4. ความกลัว
ความกลัวเป็นสาเหตุ ให้คุณไม่กล้าทำในสิ่งที่คุณควรจะทำ ไม่กล้าตัดสินใจเมื่อ ความได้เปรียบมาถึง แน่นอนมันตรงข้ามกับความโลภที่เป็นสาเหตุให้คุณทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ

นักจิตวิทยาบอกว่า ความกลัวทำให้คุณไม่กล้าขยับ ถึงแม้โอกาสที่ดีจะวิ่งเข้าหาคุณอย่างมากมายขนาดไหน แต่พวกเขาก็จะมองผ่าน และไม่ทำอะไรกับมันเลย และแย่ยิ่งกว่านั้นคือเขาพลาดโอกาสที่ดีไปแล้ว ถ้าถามผม ผมก็ไม่รู้
แต่ผมบอกได้อย่างเดียวคือ เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผมกลัวมากเท่าไหร่ โอกาสชนะของผมที่จะได้กำไรกลับมีมากขึ้น นักลงทุนทั่วไปกลัวและเอาตัวเองมาจากตำแหน่งที่ได้เปรียบ

5. Money management คือการสร้างความมั่นคั่ง

แน่นอน คุณสามารถทำเงินจากการเป็นเทรดเดอร์ หรือ นักลงทุนก็ได้ แต่ผมบอกได้เลยว่ากำไรส่วนใหญ่มันไม่ได้มาจาก เทคนิคการเทรด รูปแบบการลงทุน มากเท่ากับวิธีการบริหารเงิน หรือการจัดการเงิน

ผมยกตัวอย่าง ผมทำเงินจาก $10,000 เหรียญเป็น 1 ล้านเหรียญใน 1 ปี ในการแข่งขันรายการนึงด้วยเงินจริง ด้วยวิธีง่ายๆคือ เมื่อกำไรเยอะขึ้นคุณก็เทรดเยอะขึ้น และเมื่อกำไรลดลงคุณก็ต้องเทรดด้วยสัญญาที่น้อยลง
และ 10 ปีต่อมา ลูกสาวเขาอายุ 16 ปี ก็ชนะรางวัลการเทรด โดยทำเงินจาก 10000 เหรียญ เป็น 1 แสนเหรียญ ผมบอกได้เลยว่าไม่มีสูตรลับใดๆ ไม่มีกราฟมหํศจรรย์ใดๆ เธอแค่ทำตามรูปแบบการบริหารเงินเหมือนที่ผมได้ทำ

6. การทำกำไรมหาศาล ไม่ได้มาจากการเดิมพันที่สูง
มีเรื่องราวมากมายของนักเทรด อย่าง jesse livermore, john gates, niederhoffer, frankie joe และอีกมากมาย คนพวกนี้เดิมพันสูงมาก และสูญเสียเงินตัวเองหมดในท้ายที่สุด

การลงทุน หรือเก็งกำไรที่ฉลาดจะไม่เดิมพันสูง และไม่มีทาง ทำไมเหรอ คุณสามารถชนะ และทำกำไรมหาศาลเมื่อคุณเดิมพันไม่เยอะ กลับไปดูข้อ 5 ท้ายที่สุด เมื่อคุณเดิมพันสูง เวลาคุณเสีย คุณก็เสียเยอะเช่นกัน

มันเหมือนการเล่น รูเร็ต คุณสามารถเล่นได้บ่อยโดยคุณไม่แพ้เลย แต่ถ้าคุณเล่นบ่อยมากเท่าไหร่ บ่อยจนเพียงพอต่อผลลัพธ์อันเดียวที่คุณไม่มีทางหนีได้ คือ จุดจบ ความตาย และเมื่อคุณเดิมพันสูง คุณก็จะหมดตัวเช่นกัน ตัวผมก็เคยผ่านมาแล้ว เชื่อผมเถอะ
ผมเดิมพันน้อยลง ควบคุมความเสี่ยงให้ได้ ไม่มีวิธีใดหรอกที่จะอยู่รอดในตลาดโดยปราศจากการควบคุมความเสียหาย

7.พระเจ้าอาจช้า แต่พระเจ้าไม่เคยปฏิเสธ

ผมไม่เคยรู้เลย เมื่อไหร่ผมจะทำเงินได้ มันอาจจะเป็นการเทรดครั้งแรก หรือครั้งสุดท้ายของผมเองก็ได้ แต่คุณต้องเตรียมรบ ให้ได้นานที่สุด

ผมคิดว่าความเชื่อในเรื่องของพลัง คือ ปัจจัยในการสำเร็จของนักเทรด มันช่วยให้เรามีวิสัยทัศน์ในการเก็งกำไร 

สรุปคร่าวๆ ขอให้เรามีพยายาม และเชื่อในพลังในตัวเอง และมุ่งมั่น ความสำเร็จจะตาม

8. ผมเชื่อเสมอว่า การเทรดในปัจจุบัน ผมจะขาดทุน

อันนี้คือเคล็ดลับความเชื่อในการเก็งกำไร ให้ประสบความเสำเร็จของผมเลยทีเดียว นักเทรดทั่วไป เชื่อเสมอว่า เทรดครั้งต่อๆไป ในอนาคตพวกเขาจะเทรดได้ดีขึ้น และจะเป็นผู้ชนะ
แต่ไม่ใช่ผม !!! ผมเชื่อว่า หลักๆแล้ว หลักการจริงๆแล้ว คือการเป็นผู้แพ้ ผมถามคำถามคุณ คุณคิดว่า ผมที่มี stop อย่างผม และเทรดอย่างถูกต้อง หรือคนที่เทรดด้วยความเชื่อโดยปราศจากเหตุผล คุณคิดว่าใครจะแพ้
ระหว่างผม หรือ คนที่คิดในแง่ดี

ถ้าคุณยังไม่เข้าใจ ผมจะบอกคุณว่าการที่ผมคิดว่าผมเป็นผู้แพ้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจะปกป้องตัวเอง ในทุกรูปแบบ และทุกเวลา และผมจะไม่อยู่ในความหวัง และความไม่จริง

9. โชคจะมาหาคุณจากการเพ่งความสนใจเพียง 1 ตลาด หรือ 1 เทคนิค

คนที่เทรดหลายๆอย่าง จะไม่ประสบความสำเร็จในการเทรด ทำไม? นักเทรดจะต้องตั้งใจในรายละเอียดของการเทรด โดยปราศจากอารมณ์

การไขว้เขว้อาจหมายถึงต้นทุนคุณที่เพิ่มขึ้น ขาดการใส่ใจ นั่นจะทำให้คุณ ไม่ได้เข้าในจุดที่ควรจะเข้า หรือเพิกเฉยในการเทรดซึ่งนำมาซึ่งต้นทุนที่สูงขึ้น

เหมือนกับพวกที่โยนบอลขึ้นไปในอากาศ มันค่อนข้างยากที่คุณจะควบคุมบอลที่โยนขึ้นไปอากาศ อย่างเช่นบอล 3 ลูก แน่นอนคุณอาจจะฝึกได้ แต่เมื่อเพิ่มลูกบอลขึ้นเรื่อยๆ น้อยคนมากๆที่จะทำได้ และควบคุมลูกบอลพวกนี้ได้

ดูอย่างพวกนักกีฬาสิ พวกเขามุ่งมั่นอยู่แค่กีฬาอย่างเดียว หรือพวกศิลปิน นักดนตรี ไม่มีหรอกที่จะเป็นดาวดังจากการร้อง country western and opera ดังนั้น ยิ่งคุณมุ่งมั่นได้มากเท่าไหร่ในสิ่งที่คุณทำ คุณจะยิ่งประสบความสำเร็จมากมายในด้านนั้นๆ

10. เมื่อสงสัย ให้กลับไปอ่านข้อหนึ่งใหม่

ขอขอบคุณ BOYLES BIG MOVE CLUB

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อะไรคือความผิดอันดับแรกของนักเทรด forex


บทสรุป : เทรดเดอร์เทรดถูกทางมากกว่า 50% แต่พวกเขายังคงเสียเงิน เทรดเดอร์ควรมีจุดสต๊อปและจำกัดการขาดทุน โดยใช้อัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทนอย่างน้อย 1:1 หรือมากกว่า

ค่าเงินดอลล่าร์เคลื่อนที่ต้านค่าเงินยูโรและค่าเงินอื่นๆ ซึ่งทำให้การเทรด forex เป็นที่นิยมมากกว่าการเทรดอื่นๆ ซึ่งการไหลทะลักของเทรดเดอร์หน้าใหม่ ก็มีจำนวนเท่ากับการไหลออกของเทรดเดอร์ที่มีอยู่แล้วในตลาด

ทำไมการเคลื่อนไหวของค่าเงินทำให้เทรดเดอร์เสียเงิน เพื่อค้นหาคำตอบ การวิจัยของ  DailyFX ได้รวบรวมข้อมูลการเทรดของเทรดเดอร์จาก FXCM กว่า 1000 แอคเค้าท์ ในหัวข้อนี้เราจะมาค้นหาสิ่งที่เทรดเดอร์ทำผิดพลาดมากที่สุด และวิธีการเทรดที่เหมาะสม

ทำไมเทรดเดอร์ forex จึงทำในสิ่งที่ผิดพลาด

เทรดเดอณ์หลายคนที่เทรดตลาดเงิน มีประสบการณ์มาจากการเทรดตลาดอื่น ซึ่งมีทักษะในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ดี ในความเป็นจริงค่าเงินที่เป็นที่นิยมที่สุดในการเทรด เทรดเดอร์มีโอกาสเทรดถูกทางมากกว่า 50%

 

 
ชาร์ตข้างบนแสดงให้เห็นถึงข้อมูลการเทรดของเทรดเดอร์กว่า 12 ล้าน แอคเค้าท์ ซึ่งเป็นลูกค้าของ FXCM ทั่วโลกในปี 2009 และ 2010 ซึ่งได้แสดงคู่เงินที่เป็นที่นิยมเทรดที่สุดของลูกค้า 15 คู่ แท่งสีน้ำเงิน แสดงเปอร์เซ็นต์ชนะ แท่งสีแดงแสดงเปอร์เซ็นต์แพ้ ตัวอย่างในคู่เงิน EUR/USD ซึ่งเป็นค่าเงินที่เป็นที่นิยมมากที่สุด ในตัวอย่างของลูกค้า FXCM พวกเขามีเปอร์เซ็นต์ชนะถึง 59% และมีเปอร์เซ็นต์แพ้ที่ 41%  

ดังนั้นพวกเขามีโอกาสที่จะชนะมากกว่าครึ่งหนึ่ง แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เทรดเดอร์ผิดพลาดในการเทรด

 

 
จากชาร์ตข้างบนสามารถอธิบายได้ว่า แท่งสีน้ำเงินแสดงจำนวนจุดเฉลี่ยที่เทรดเดอร์ได้กำไร และแท่งสีแดงแทนจำนวนจุดเฉลี่ยที่เทรดเดอร์ขาดทุน ซึ่งทำให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าทำไมเทรดเดอร์ถึงขาดทุนถึงแม้ว่าพวกเขามีโอกาสที่จะชนะมากกว่าครึ่งหนึ่งก็ตาม นั่นคือ พวกเขาเสียเงินตอนที่เขาแพ้ มากกว่าได้เงินตอนที่พวกเขาชนะ

ทีนี้เราจะไปดูตัวอย่างของ EUR/USD เรารู้ว่าโอกาสชนะในการเทรด EUR/USD อยู่ที่ 59% โดยเทรดเดอร์จะเสีย 127 จุด เมื่อเขาเทรดแพ้  และได้ 65 จุด เมื่อพวกเขาเทรดชนะ ขณะที่พวกเขาเทรดชนะมากกว่าครึ่งหนึ่ง แต่พวกเขาเสียเป็นสองเท่าเมื่อพวกเขาเทรดแพ้

เมื่อมาดูในคู่เงิน GBP/JPY ยิ่งแย่ไปกว่านั้น เทรดเดอร์มีโอกาสเทรดชนะถึง 66%  อย่างไรก็ตามเทรดเดอร์เสียเงิน เพราะว่าเมื่อพวกเขาเทรดชนะพวกเขาจะได้ 52 จุดโดยเฉลี่ย และเมื่อพวกเขาแพ้ เขาจะเสีย 122 จุด โดยเฉลี่ย

 
ตัดขาดทุนให้เร็วและปล่อยให้กำไรวิ่งไป

หนังสือจำนวนมากแนะนำให้เทรดเดอร์ทำตามนี้ เมื่อคุณเทรดพลาด คุณควรตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว มันจะดีมาก ถ้าคุณเสียน้อยๆในตอนแรก ดีกว่าเสียมากๆทีหลัง เมื่อคุณเทรดถูกทางจงอย่ากลัวที่จะปล่อยให้กำไรวิ่งไป ซึ่งมันจะสามารถทำกำไรให้คุณได้อย่างมาก
นี่อาจจะเป็นประโยคง่ายๆ “จงทำในสิ่งที่ถูกต้องให้มากและจงทำในสิ่งที่ผิพลาดให้น้อย” แต่ธรรมชาติของมนุษย์มักจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม พวกเราต้องการเป็นผู้ถูกต้อง โดยธรรมชาติพวกเรามักจะถือออเดอร์ที่ขาดทุน โดยหวังว่ามันจะกลับมาและการเทรดครั้งนั้นของเราถูกต้อง ในขณะที่พฤติกรรมการทำกำไรของพวกเรามักจะทำอย่างรวดเร็ว เพราะว่าพวกเรากลัวการสูญเสียกำไรที่เราได้รับ ในการเทรดมีหลายสิ่งที่สำคัญมากกว่าการเทรดให้ถูกต้อง ดังนั้นตัดขาดทุนให้เร็วและปล่อยให้กำไรวิ่งไป

แล้วจะทำมันอย่างไรละ : ทำตามกฎนี้เลย

เมื่อทำการเทรดให้ทำตามกฎนี้เสมอ คือการมองหาผลตอบแทนที่มากกว่าความเสี่ยง นี่คือคำแนะนำที่มีประโยชน์มากซึ่งจะพบได้ในหนังสือเกี่ยวกับการเทรดแทบจะทุกเล่ม โดยทั่วไปมันถูกเรียกว่า “อัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทน”  ถ้าความเสี่ยงและผลตอบแทนของคุณมีค่าเท่ากัน นั่นจะมีอัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทนเท่ากับ 1:1 ถ้าคุณมีเป้าการทำกำไรที่ 80 จุด และมีจุดตัดขาดทุนที่ 40 จุด นั่นจะมีอัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทนเท่ากับ 1:2 ถ้าคุณทำตามกฎข้อนี้ได้ คุณต้องการโอกาสถูกแต่ 50% เท่านั้น แต่คุณก็ยังสามารถทำกำไรได้
แล้วอัตราส่วนที่ควรใช้อยู่ที่เท่าไหร่ล่ะ? มันขึ้นอยู่กับรูปแบบการเทรดของคุณ ซึ่งคุณควรใช้อัตราเสี่ยงอย่างต่ำที่สุดคือ 1:1 โดยทั่วไปกลยุทธ์ในการทรดที่มีความน่าจะเป็นสูง เช่น กลยุทธการเทรดเป็นช่วง คุณจะต้องใช้อัตราส่วนต่ำ บางทีอยู่ระหว่าง 1:1 ถึง 1:2 สำหรับการเทรดที่มีความน่าจะเป็นต่ำ เช่น กลยุทธการเทรดตามแนวโน้ม คุณจะต้องใช้อัตราส่วนที่สูง 1:2, 1:3 หรือ 1:4 และจำไว้ว่ายิ่งอัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทนสูงเท่าใด ก็จะต้องการโอกาสที่จะทำนายทิศทางตลาดถูกน้อยไปเท่านั้น

จงยึดแผนของคุณ : ใช้จุดตัดขาดทุน และจำกัดความเสี่ยง

จงจำไว้ว่าพฤติกรรมของมนุษย์โดยธรรมชาติชอบถือออเดอร์ที่ขาดทุนและทำกำไรอย่างรวดเร็วจนเกินไป เราจะต้องเอาชนะพฤติกรรมเหล่านี้ และกำจัดอารมณ์ออกจาการเทรด วิธีการที่ดีที่สุดคือการวางแผนจุดตัดขาดทุน และจำกัดความเสี่ยงเสียแต่แรก

 


การบริหารความเสี่ยงในแนวทางนี้คือสิ่งที่เทรดเดอร์หลายคนเรียกว่า money management” เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมีการคาดเดาทิศทางถูกต้องน้อยกว่า 50% แต่พวกเขาปฏิบัติตามการบริหารเงินทุนที่ดี ด้วยการตัดขาดทุนอย่างรวดเร็ว และปล่อยให้กำไรวิ่งไป จึงทำให้พวกเขายังคงมีกำไรในการเทรด

กฎข้อนี้ใช้งานได้ดีจริงหรือไม่?
นี่คือเหตุผลที่ช่วยสนับสนุนกฎข้อนี้ คุณสามารถเห็นความแตกต่างของชาร์ตข้างล่างได้อย่างชัดเจน

 

 
เส้น 2 เส้นด้านบน แสดงสมมติฐานของผลตอบแทนในการเทรดโดยใช้กลยุทธ์พื้นฐานของ RSI ในคู่เงิน USD/CHF ในกราฟ 60 นาที กลยุทธ์นี้ถูกเลียนแบบมาจากการเทรดของลูกค้าของ FXCM ที่มีแนวโน้มจะเป็นการเทรดแบบการเทรดในช่วง เส้นสีน้ำเงินจะแสดงผลตอบแทนแบบปกติ นั่นก็คือ ผลตอบทนจากการไม่ใช้จุดตัดขาดทุน และการจำกัดความเสี่ยง เส้นสีแดงคือผลตอบแทนของการใช้จุดตัดขาดทุน และการจำกัดความเสี่ยง

ระบบโดยทั่วไปของลูกค้า FXCM (RAW) จะมีโอกาสที่จะชนะสูง แต่ยังคงเสียเงินมากว่าในตอนที่เทรดแพ้ โดยระบบนี้ (RAW) จะมีโอกาสเทรดถูกถึง 65% แต่มันจะมีการเสียเงินเฉลี่ยอยู่ที่ 200 $ และจะมีกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 121 $ เมื่อเทรดชนะ

 
สำหรับการใช้จุดตัดขาดทุน และการจำกัดความเสี่ยงในแบบจำลองนี้ เราจะเซ็ตจุดตัดขาดทุนไว้ที่ 115 จุด และมีค่าสูงสุดที่ 120 จุด โดยมีอัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทน คือ 1:1 นี่คือกลยุทธ์ในการเทรดช่วงของ RSI อัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ต่ำให้ผลที่ดีมาก เพราะว่า มันเป็นกลยุทธ์ที่มีความน่าจะเป็นสูงถึง 56% 

ในการเปรียบเทียบจะเห็นว่าการใช้จุดตัดขาดทุน และการจำกัดความเสี่ยงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า การลดลงของเงินทุนมีน้อย แลกราฟมีความผันผวนน้อย

อัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทน คือ 1:1 หรือ สูงกว่าจะให้กำไรที่มากกว่า ในชาร์ตต่อไปเราจะมาดูว่าการเลียนแบบโดยใช้จุดตัดขาดทุนที่ 110 จุด ทุกๆเทรด ระบบนี้จะมีกำไรที่ดีที่อัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทน 1:1 ถึง 1:1.5 ในภาพข้างล่าง แกนตั้งคือผลตอบแทน และแกนนอนคืออัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทน คุณจะเห็นว่ากราฟจะแหลมชันที่อัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทน 1:1และเมื่ออัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทนมากขึ้นจะทำให้กราฟอ้วนขึ้น


 


 
อีกครั้ง, เนื่องจากว่ากลยุทธ์ในการเทรดด้วยวิธีนี้เป็นกลยุทธ์ที่มีความน่าจะเป็นสูง ดังนั้นการใช้อัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่ต่ำจึงทำงานได้ดี เราจะคาดหวังอัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทนจะมากขึ้นถ้าแนวโน้มสามารถวิ่งไปในทิศทางเดิมได้ไกลกว่าเดิม

แผนของเกมส์นี้ : อะไรคือกลยุทธ์ที่ผมควรใช้

คุณต้องมีจุกตัดขาดทุนเสมอ และมีอัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทนประมาณ 1:2 หรือมากกว่า นั่นคือคุณสามารถทำกำไรได้โดยเทรดให้ถูกทางแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
การวางจุดตัดขาดทุนสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยรูปแบบของกราฟ เช่น ตามแนวรับและแนวต้าน และคุณสามารถประยุกต์ใช้อัตราส่วนของความเสี่ยงต่อผลตอบแทนในการเทรด เช่นคุณมีจุดตัดขาดทุนที่ 40 จุด คุณก็ควรมีจุดทำกำไรที่ 40 หรือมากกว่านั้น คุณมีจุดตัดขาดทุนที่ 500 จุด คุณก็ควรมีจุดทำกำไรที่ 500 หรือมากกว่านั้น

กลยุทธ์ของแบบจำลองนี้

เราจะประยุกต์ใช้ในการเทรดระหว่างวัน ในกราฟ 15 นาที
กฎการเข้า ; เมื่อ RSI อยู่เหนือ 30 จะเข้าบายเมื่อเกิดแท่งเทียนใหม่ และเมื่อ RSI อยู่ต่ำกว่า 70 จะเข้าเซลเมื่อเกิดแท่งเทียนใหม่
กฎการออก ; จะออกเมื่อมีทิศทางและสัญญาณตรงกันข้าม

 ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สนใจเปิดบัญชีเทรด Forex กับโบรกเกอร์ Exness คลิ๊ก