วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิธีการเล่นหุ้น และบัญญัติ 10ประการของ Dan Zanger

zanger วิธีการเล่นหุ้น และบัญญัติ 10ประการของ Dan Zanger 

วันนี้ผมนำ บัญญัติวิธีการเล่นหุ้น 10 ข้อของ Dan Zanger มาให้อ่านกันครับ โดยหากคุณยังไม่รู้จักกับเขาคนนี้ว่า Dan Zanger นั้น เป็นใครผมก็ขอแนะนำคร่าวๆนะครับ ว่าเขาคือหนึ่งในนักเล่นหุ้นที่ดีที่สุดของโลกคนหนึ่งโดยสิ่งที่ทำให้เขา กลายเป็นที่สนใจก็คือ เมื่อประมาณเกือบสิบปีที่ผ่านมา ( ประมาณปี 1999-2000) เขาได้ทำให้วงการหุ้นตะลึงโดยการที่เขาสามารถ ทำเงิน 11,000 เหรียญเล่นหุ้นให้กลายเป็นเงิน 18 ล้านเหรียญได้ภายในปีเดียว! และยังไม่พอครับอีกประมาณสองปีต่อมาเขาสามาถทำเงินเพิ่มจากการเล่นหุ้นจนมีทรัพย์สินประมาณ 42 ล้านเหรียญสหรัฐอย่างไม่น่าเชื่อ และที่สำคัญนี่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการฟลุ้คอย่างแน่นอน เพราะเขาเคยเจ๊งและเล่นหุ้นอย่างลุ่มๆดอนๆมาเป็นสิบปี และอะไรคือหลักการคิดที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองไปได้ถึงขนาดนี้เรามา ติดตามกันครับ


1.ก่อนที่จะซื้อหุ้นให้ตรวจสอบให้ดีว่า รูปแบบราคาของหุ้นตัวที่คุณสนใจนั้นตรงกับรูปแบบราคาหุ้นที่มีความน่าเชื่อถือและให้ผลตอบแทนอย่างดีหรือไม่
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2.ซื้อเมื่อหุ้นวิ่งผ่านแนวต้านของรูปแบบราคา (chart Pattern) และดูให้ดีว่า มีวอลุ่มเข้ามามากหลังจากราคาได้เคลื่อนผ่านแนวต้านไปแล้วหรือไม่ อย่าซื้อหุ้นเมื่อมันได้วิ่งผ่านแนวต้านเดิมมาเกินประมาณ 5%แล้ว ที่สำคัญคุณควรจะรู้ค่าเฉลี่ยวอลุ่มที่ผ่านมาภายในช่วงเวลา 30 วันด้วยเช่นกัน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3.ต้องรีบขายหุ้นที่หักหัวกลับลงมาที่จุดซื้อแนวต้านเดิม หรือเส้นแนวโน้มที่พึ่งผ่านมา (trend line) โดยปกติแล้วคุณควรตั้งจุดขาดทุนไม่เกิน1-2 ช่องต่ำกว่า Breakout Point หรือแนวต้านเดิม นักเล่นหุ้นบางคนอาจจะตั้ง “จุดตัดขาดทุน” ไว้ไม่เกิน 5% ของพอร์ทรวม และนี่อาจรวมถึงการที่เราควรขายหุ้นที่ ไม่วิ่งหลังจากราคาทะลุแนวต้านไปแล้วเกิน 20 นาที หรือ 3 ชั่วโมง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
4.ขายหุ้นออกไปประมาณ 20%-30% หลังจากที่มันได้วิ่งทำกำไรให้คุณไปแล้วประมาณ 15%-20% จากจุดซื้อที่แนวต้านเดิม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
5.ถือหุ้นที่แข็งแกร่งและแรงที่สุดไว้ให้นานที่สุด และควรขายหุ้นที่เคลื่อนใหวอืดอาดออกไปอย่างรวดเร็ว เราต้องจำไว้ว่า “หุ้นนั้นดีต่อเมื่อมันวิ่งขึ้น”
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
6.มองหา “กลุ่มหุ้นที่นำตลาด” เอาไว้และพยายามเลือกหุ้นจากกลุ่มนี้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
7.หลัง จากที่หุ้นวิ่งไปได้ไกลๆระยะหนึ่ง หุ้นของคุณมีแนวโน้มที่จะถูกเทขายทำกำไรอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนคุณไม่อยากเชื่อ ดังนั้นจงเรียนรู้ที่จะ ยกจุดตัดขาย (Trailing Stop) หรือ การกำหนดจุดตัดขายจากเส้นแนวโน้มให้ดีเพื่อช่วยในการออกหุ้นของคุณ ซึ่งพวกคุณอาจจะสามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้จากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับ Candlesticks หรืออ่านหนังสือ Encyclopedia of Chart Reading เขียนโดย Bulkowski
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
8.จำไว้ให้ดีว่า “หุ้นจะวิ่งวอลุ่มต้องเข้า” ดัง นั้นจงรู้จักสังเกตุพฤตติกรรมของการซื้อขายหรือวอลุ่มของหุ้นที่คุณซื้อและ รู้ว่าจะจัดการอย่างไรเมื่อเห็นการเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงของวอลุ่มการซื้อขาย ซึ่งคุณจะสามารถสังเกตุเห็นได้จากการอ่านกราฟ วอลุ่มคือกุญแจแห่งความสำเร็จในการวิ่งของราคา
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
9.มีหุ้นมากมายที่อยู่ในการแนะนำให้ซื้อหลังจากหุ้นวิ่งทะลุแนวต้านทำ New high อย่างไรก็ตามแค่การที่มันถูกแนะนำไม่ได้แปลว่าคุณควรที่จะซื้อมันหลังจากที่มันวิ่งทะลุแนวต้านไปแล้ว คุณควรที่จะสังเกตุพฤตติกรรมของราคาและวอลุ่มในระหว่างวันหลังจากมันวิ่งทะลุขึ้นไป และดูประกอบกับสภาพตลาดโดยรวมด้วย
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
10.คุณไม่ควรเล่นหุ้นด้วย Margin หากคุณยังไม่ชำนาญในตลาดหุ้น ในการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค และที่สำคัญคือการควบคุมอารมณ์ของคุณ เพราะ Margin จะทำให้คุณหมดตัวได้

ขอขอบคุณ  http://www.mangmaoclub.com

การวิเคราะห์ทางเทคนิค ด้วยปริมาณการซื้อขาย หรือ Volume Analysis

1.การเคลื่อนที่ของวอลุ่มและราคามักจะเป็นไปตามแนวโน้ม
ดังนั้นแนวโน้มขาขึ้น แรงซื้อ ต้องมากกว่าแรงขาย ดังนั้นแท่งเทียนที่ปรับตัวขึ้นบวกต้องมีวอลุ่มมากกว่าแท่งเทียนที่ปรับตัวลง
ส่วน แนวโน้มขาลง แรงขายต้องมากกว่าแรงซื้อ ดังนั้น แท่งเทียนสีดำ (หรือแท่งสีแดง)ที่บอกภาพลบต้องมีวอลุ่มมากกว่าแท่งเทียนที่เป็นภาพซื้อสี ขาว ในตลอดแนวโน้มขาลง
 หาก ภาพของวอลุ่มไม่สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าวแล้ว ก็อาจจะเป็นสัญญาณเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่จะ เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้

2.เมื่อวอลุ่มเคลื่อนที่ไม่สอดคล้องกับราคา จะบ่งบอกถึง Trend หรือแนวโน้มข้างหน้าว่ากำลังเปลี่ยนไป
เช่น
เมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นทำ New high ใหม่ ในแต่ละรอบ แต่กลับมี ปริมาณการซื้อขายที่น้อยลง ก็บ่งบอกว่าแนวโน้มขาขึ้นที่เห็นนั้นกำลังอ่อนแรง และอาจเปลี่ยนแนวโน้มได้ในไม่ช้า (เสมือนพลุที่หมดเชื้อเพลิง)
ส่วน แนวโน้มในตลาดขาลงที่มีวอลุ่ม เริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็จะบ่งบอกถึงแรงขายได้ใกล้หมดลงแล้ว จึงทำให้แรงซื้อจะกลับมาชนะแรงขายอีกครั้ง และตลาดจะปรับตัวเป็นขาขึ้นอีกรอบ
ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้เป็นพื้นฐานขั้นต้นที่นักลงทุนจะต้องเรียนรู้และใช้ประกอบในการตัดสินใจการลงทุนทุกครั้ง
โดย การวิเคราะห์โดยละเอียดและให้แม่นยำนั้น ต้องศึกษาและสังเกตุพฤติกรรมหุ้นในหลายๆรูปแบบ รวมถึงจะต้องเห็นกราฟในรูปแบบซ้ำในหุ้นหลายๆตัว เพื่อเพิ่มทักษะในการวิเคราะห์

วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Martin Schwartz สุดยอดเซียนหุ้นระดับตำนาน





Martin Schwartz สุดยอดเซียนหุ้นระดับตำนาน  ด้วยผลงานการเทรดของเขาที่ไม่ธรรมดา ในปีแรกของการเป็นเทรดเดอร์ เขาสามารถทำเงินได้ถึง $600,000 และเบิ้ลเป็นสองเท่าในปีถัดมา Schwartz เปิดเผยว่าเขาเคยทำเงินได้ถึง $70,000 ในการเทรดเพียงหนึ่งวัน!!!!!!! นอกจากนี้ เขายังได้ตำแหน่งแชมป์การเทรดในรายการ U.S. Investing Championship เมื่อปี 1984 ซึ่งถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติสำหรับเหล่าบรรดานักเล่นหุ้น ชาวอเมริกันเลยทีเดียว !!

ผลงานการเทรดของเขา ยังคงเป็นตำนานให้เทรดเดอร์รุ่นใหม่ๆ กล่าวถึงอยู่เสมอ ก็ลองคิดดูสิจะมีซักกี่คนบนโลกใบนี้ที่ทำกำไรเฉลี่ยต่อปีจากการเล่นหุ้นได้ ถึงเกือบ 100% ต่อปี ย้ำนะว่าต่อปี และเป็นช่วงเวลายาวนานถึงกว่า 10 ปีอีกด้วย สิ่งนี้เองทำให้เขาได้รับการกล่าวขานให้เป็น ตำนานของตำนาน! ของบรรดาเหล่านักเล่นหุ้นระยะสั้นสำหรับชาวอเมริกัน!!!!!


Martin Schwartz ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการเล่นหุ้นออกมาหลายต่อหลายเล่ม ซึ่งหนังสือที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือหนังสือขายดีอย่าง Market Wizards หนังสือที่ได้รวบรวมบทสัมภาษณ์ของบรรดาเหล่าเทรดเดอร์จากทุกตลาด มาเปิดเผยเทคนิค วิธีการ และแนวคิดในการเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จในแบบฉบับของแต่ละคน ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนสไตล์ใด ไม่ว่าคุณชอบหุ้น ฟิวเจอร์ ค่าเงิน หรือ Commodities ก็แล้วแต่ หนังสือเล่มนี้เหมาะกับคุณแน่นอน ส่วนอีกเล่มที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือหนังสือที่สร้างชื่อให้เขามากที่สุดที่ชื่อว่า
Pit Bull : Lessons from Wall Street's Champion Day Trader ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวบนเส้นทางชีวิตการเป็นเทรดเดอร์อิสระของเขา ทั้งด้านความสำเร็จและความล้มเหลวให้เหล่ามือใหม่ได้เรียนรู้ก่อนลงสนามจริง
จุดเริ่มต้นของ Martin Schwartz 
หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย Schwartz เริ่มต้นการทำงานที่ US Marine Corp. หลัง จากนั้นเขาตัดสินใจลาออกไปเป็นนักวิเคราะห์ให้กับโบรกเกอร์แห่งหนึ่ง ในช่วงที่เขาทำงานอยู่ เขาเริ่มเรียนรู้การลงทุนในตลาดหุ้น แต่เขาก็ประสบความล้มเหลวตลอดในช่วงเวลา 10 ปีแรก จนเกือบจะต้องล้มละลายในช่วงปี 1970  

หลัง จากนั้น เขาได้ค้นพบหนทางของตัวเอง คือหนทางในการเก็งกำไรโดยใช้เทคนิคคอล เขาค้นพบวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง จนในที่สุด เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานในขณะที่มีเงินเก็บทั้งหมด $110,000 เขาใช้เงิน $92,500 จ่ายเป็นค่าที่นั่งใน floor ที่ตลาด American Stock Exchange ทำให้เขาเหลือเงินเพียง $20,000 เขาจึงต้องหยิบยืมเงินจากคนอื่นอีก $50,000 ทำให้เขามีเงินในการเริ่มต้นเทรดทั้งสิ้น $70,000 

"ผมเริ่มต้นด้วยการขาดทุนในสองวันแรก ในการเทรด Option แต่หลังจากนั้นผมก็ทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง หลังจาก 4 เดือนแรก ผมได้กำไร $100,000 ครบปีผมทำเงินได้ถึง $600,000 และ $1,200,000 ในปีถัดมา"

"หลังจากนั้นผมตัดสินใจหันไปเก็งกำไรในตลาด future แทน ด้วยเหตุผลว่าตลาด option เริ่มเล็กไปสำหรับผมและผลประโยชน์ด้านภาษีในช่วงเวลานั้น การเทรด future ทำเงินให้ผมจาก $40,000 เป็น $20 ล้านในช่วงที่ผ่านมา โดยไม่เคยมีช่วงเวลา drawdown มากกว่า 3% นั่นเป็นสิ่งที่ผมภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก"

หลักการเทรดของ Schwartz คือ เขาจะพยายามทำกำไรให้เป็นบวกในทุกๆเดือน เขาเผยว่าเขาเคยพยายามที่จะทำกำไรให้ได้ทุกๆวัน และเขาก็พบว่ามันบ้ามากที่จะคิดแบบนั้น เพราะมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ในทุกเดือนเขาสามารถทำกำไรได้ประมาณ 90% ของจำนวนวันที่เทรดทั้งหมด ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา  

นอก จากนี้เขาได้พูดถึงสาเหตุที่คนส่วนใหญ่ในตลาดขาดทุน ว่าเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ชอบที่จะเสียเงินมากกว่ายอมรับว่าตัวเองผิด พวกเขาต้องการจะปกป้อง ego ของตัวเอง แต่สำหรับ Schwartz เขาบอกว่าเขาสามารถทำกำไรจากตลาดได้ ตั้งแต่ที่เขาสามารถพูดกับไอ้เจ้า ego ของเขาว่า การทำเงินสำคัญมากกว่ามัน และเขาไม่มีวันยอมเสียเงินซักแดงเดียวเพื่อที่จะปกป้อง ego เด็ดขาด !!!!
  
คำแนะนำสำหรับมือใหม่
ผม อยากจะให้มือใหม่ที่กำลังจะก้าวเข้ามาในอาชีพนี้ทุกคน คิดและเชื่อว่าคุณทำได้ คุณสามารถประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์ได้มากกว่าที่คุณฝันไว้ เพราะนั่นมันเป็นสิ่งที่เกิดกับผม ผมมีอิสรภาพทั้งด้านการเงินและการใช้ชีวิต ผมอยากไปไหนก็ได้ที่ผมต้องการ ลูกๆ ของผมคิดว่าที่ทำงานของพ่อของพวกเค้า คือ บ้านของเรา 

สิ่ง ที่จะทำให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่ดีขึ้น คือ คุณต้องเรียนรู้ที่จะขาดทุน สิ่งสำคัญในการทำกำไรก็คืออย่าปล่อยให้การขาดทุนมันบานปลาย นอกจากนี้ อย่าพยายามเพิ่ม volume การเทรด จนกว่าคุณจะสามารถดับเบิลพอร์ตของคุณได้ คนส่วนใหญ่มักทำผิดพลาดโดยการพยายามเพิ่ม volume ใน การเทรดทันทีที่เขาเพิ่งเริ่มจะที่จะมีกำไร และนั่นเป็นหนทางแห่งหายนะที่ทำให้เค้าเหล่านั้นต้องเดินออกไปจากตลาดแห่ง นี้อย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ทำให้ Martin Schwartz ประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์ หลังจากล้มเหลวมานานกว่า 10 ปี นั้น ผู้เขียนเชื่อว่าเกิดจากปัจจัยที่สำคัญสองอย่าง อย่างแรก คือเขาค้นพบวิธีการที่เหมาะกับเขา ตลอดช่วงเวลาที่เขาขาดทุน เขาใช้การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานในการตัดสินใจเข้าเทรด จนเมื่อเขาได้รู้จักกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงทำให้เขาเริ่มทำกำไรได้ แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะดีกว่าการวิเคราะห์ ทางพื้นฐาน สิ่งสำคัญมันคือ การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีความเหมาะสมกับตัวตนของเขาต่างหาก!!!! ดังนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกที่คุณต้องมีก็คือคุณต้องหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวคุณให้เจอก่อน

สำหรับปัจจัยอย่างที่สอง ซึ่งเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของ Schwartz ก็ คือ การเปลี่ยนทัศนคติของตัวเอง เขาเริ่มประสบความสำเร็จในการเก็งกำไรหลังจากที่เขาต้องการทำเงินมากกว่า ต้องการที่จะเป็นฝ่ายถูก คนส่วนใหญ่ยินดีจะเสียเงินเพื่อจะเป็นฝ่ายถูก (คือเลือกที่จะไม่ cut loss) การเทรดของ Schwartz จึงออกมาในรูปแบบของการเน้นควบคุมความเสี่ยงเป็นสำคัญ เขาจะลด volume ในการเทรดหลังจากการขาดทุนอย่างมาก รวมถึงลด volume เท รดเช่นกันหลังจากได้กำไรมหาศาล เพราะเขามีประสบการณ์ขาดทุนอย่างมากหลังจากการได้กำไรก้อนโต เขาบอกว่าหลังจากการได้เงินหรือเสียเงินจำนวนมากๆ จะทำให้การควบคุมเกมส์การเทรดและการควบคุมอารมณ์ของเราสูญเสียไปบางส่วน การลด volume เทรดลงจะช่วยให้เรากลับมาอยู่ในเกมส์ของเรามากขึ้น           
   


ขอขอบคุณ  http://2binvestor.blogspot.com