วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บริหารพอร์ตเหมือนบริหารร้านค้าแนวคิดของ William O’Neil



 ทั้ง O’Neil และ Livermore ต่างก็มองว่าการเล่นหุ้นนั้น ก็เหมือนกับการทำธุรกิจ (ธุรกิจเก็งกำไร)คุณต้องบริหารกิจการของคุณให้อยู่รอดและสร้างผลกำไรได้ อย่างสม่ำเสมอ นั่นทำให้คุณต้องรู้จักการบริหารเงินทุน(หน้าตัก), บริหารพอร์ตลงทุน, บริหารความเสี่ยง ซึ่งก็ไม่ต่างจากการทำธุรกิจเท่าไหร่เลย

และเป็นที่แน่นอนว่า ถ้าคุณไม่จริงจังหรือไม่ได้ใส่ใจธุรกิจของคุณ ก็คงยากที่คุณจะประสบความสำเร็จจากธุรกิจนั้นๆ

นี่ ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น เพราะคนส่วนใหญ่มักคิดว่า การเล่นหุ้นก็เล่นง่ายๆ แค่สั่งซื้อหุ้น พอขึ้นก็ขาย ลงก็ซื้อ หรือมักคิดว่า กำไรจากหุ้นนั้นหามาได้โดยง่าย
ซึ่ง นั่นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก เพราะคนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น ‘ทุกคน ทุกแนว’ ต่างก็ต้องใช้ความพยายาม ความขยัน และอดทน กว่าที่จะพบเจอความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ครับ

ในส่วนของการบริหารพอร์ต ผมอ่านจากหนังสือ ‘How to Make Money in Stocks’ ของ O’Neil เป็นหัวข้อที่เนื้อหาสั้นๆแต่อ่านแล้วรู้สึกชอบ เพราะเค้าเปรียบเทียบการบริหารพอร์ตกับการบริหารสต็อคสินค้าของธุรกิจได้ อย่างน่าสนใจ
ลองอ่านดูครับ ถ้าแปลผิดก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
สมมติว่า คุณเปิดร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆสำหรับผู้หญิง
หลังจากเปิดร้านเรียบร้อย คุณก็ได้สั่งเสื้อมาสต็อคเก็บไว้ 3 สี คือ สีฟ้า สีดำ และ สีเขียว
หลังสินค้าเข้ามาไม่นานนัก สีฟ้า ขายดีมากและหมดไปอย่างรวดเร็ว, สีดำ ขายได้ครึ่งนึง, เหลือแต่ สีเขียว ที่ขายไม่ออกซักชิ้นเดียว

หลังจากเห็นผลการขายสินค้าล็อตแรกผ่านไป คุณจะทำอะไรต่อไป?
คุณจะเดินเข้าไปหาลูกค้าที่อยากได้เสื้อสีฟ้า แล้วคุยแบบนี้ไหมครับ
“ตอน นี้เสื้อสีฟ้าขายหมดแล้วครับ เหลือแต่เสื้อสีเขียวที่ยังไม่มีใครซื้อเลย แต่ผมคิดว่ามันสวยดีนะ และส่วนตัวผมก็ชอบสีเขียวมากที่สุดด้วย เพราะงั้นคุณช่วยซื้อสีเขียวแทนละกันครับ”
แน่นอนว่า ถ้าคุณเปิดร้านขายของจริงๆ คุณไม่สามารถพูดแบบนี้ได้!
ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ นักธุรกิจหรือพ่อค้าแม่ค้าที่ฉลาดและสามารถเอาตัวรอดในธุรกิจการค้าได้ จะต้องนึกในใจแล้วว่า
“สงสัยจะมีอะไรผิดพลาดซะแล้ว เราต้องรีบระบายเสื้อสีเขียวออกให้หมด เริ่ม จากลดราคาซัก 10% ดู ถ้าลด 10% แล้วยังขายไม่ออกอีก ก็ลด 20% ไปเลย (ลดล้างสต็อค) รีบๆขายให้หมด เอาเงินทุนคืนมาจากสินค้าที่ไม่มีใครต้องการให้เร็วที่สุด จากนั้นก็ไปสั่งสต็อคสินค้าที่กำลังขายดีเพิ่ม นั่นก็คือ เสื้อสีฟ้า ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมาก” >> นี่ถือเป็น common sense ทั่วไปในธุรกิจค้าขาย
แล้วคุณเคยคิดแบบนี้กับการบริหารพอร์ตลงทุนของคุณหรือไม่? ถ้าลองเปลี่ยนจากร้านขายเสื้อมาเป็นพอร์ตหุ้นของคุณล่ะ?
สถานการณ์คือ คุณซื้อหุ้นมา 3 ตัว

ผ่านไปซักพักใหญ่ๆ (มากกว่า 2 เดือน หรือ 8-10 สัปดาห์) หุ้น ตัวที่คุณคิดว่าดีมากและชอบมากมันไม่ไปไหนเลย แต่หุ้นตัวที่คุณไม่ชอบเท่าไหร่กลับค่อยๆขึ้นไปอย่างสม่ำเสมอ และดูเหมือนตลาดจะชอบตัวนี้มากกว่า แต่คุณก็ไม่เห็นด้วย เพราะคุณไม่ชอบด้วยเหตุผลและข้อเสียต่างๆของมันตามที่คุณได้วิเคราะห์เอาไว้
แน่นอนว่าทุกๆคนเคยเลือกหุ้นผิดพลาด เคยเลือกตัวที่ไม่ดี แต่ การที่หุ้นบางตัวขายดีมากๆ ก็แสดงว่ามีคนต้องการซื้อ (หุ้นมี Demand สูง) ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ (และอาจจะเป็นสิ่งที่เรายังไม่รู้) ซึ่งนั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังถือหุ้นตัวนั้นอยู่ด้วย
แต่ถ้าคุณมัวแต่ คิดว่า หุ้นตัวนี้ไม่เห็นจะมีอะไรดีขนาดนั้น คุณมองว่าคนอื่นน่าจะคิดผิดแน่ๆ เลยรีบขายทำกำไรจนหมด แล้วย้ายไปซื้อหุ้นตัวอื่นๆที่คุณคิดว่าดีกว่า นั่นก็จะทำให้คุณกำลังพลาดการทำกำไรก้อนใหญ่จากหุ้นที่ถืออยู่นั่นเอง (ขายหมูตัวใหญ่)

ถึง แม้ว่าหลังจากหุ้นขึ้นไปมากๆ (จากจุดที่คุณขาย) มันจะร่วงลงมาแรงตามพื้นฐานที่คุณเคยคิด แต่ในระหว่างทางที่มันได้ขึ้นไปหลายเท่าตัว คุณก็ได้แต่นั่งมองมันขึ้นไปด้วยความเสียดาย เพราะถึงคุณจะไม่ได้ขายที่จุดสูงสุดก็เถอะ แต่ยังไงก็จะได้ขายในราคาที่สูงกว่าจุดที่คุณขายไปจริงๆนั่นเอง
และหลายคนก็มักเอาเงินไปจมกับหุ้นที่ตนคิดว่าดีมากๆที่ยังไม่ขึ้น แต่กลับต้องเจอกับการรอคอยอย่างยาวนาน กว่าที่ตลาดจะมาสนใจหุ้นคุณ ซึ่งบางครั้งอาจจะนานเป็นปี
นั่นถือว่าเป็นการเสียโอกาสอย่างมากในมุมมองการลงทุนของ O’Neil ในเรื่องของ ‘Time Value Of Money’ ครับ คือ แทน ที่คุณจะเอาเงินไปทำกำไรจากหุ้นตัวอื่น แต่เงินลงทุนนั้นกลับจมและเสียเวลาอยู่กับหุ้นตัวที่ขายไม่ออก ซึ่งก็คล้ายๆกับการบริหารสต็อคสินค้าที่ได้กล่าวไปแล้วนั่นเองครับ
“สรุป แล้ว การบริหารพอร์ตในลักษณะแบบนี้ จะทำให้พอร์ตหุ้นของคุณมีหุ้นที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง และมีโอกาสทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอมากขึ้นครับ ที่สำคัญคือ เป็นการลดค่าเสียโอกาส จากการที่เงินจะไปจมอยู่กับตัวที่อ่อนแอนั่นเอง”

ดังนั้น คุณไม่จำเป็นต้องตัดสินใจเลือกหุ้นถูกต้องทุกครั้ง (Stock Selection) ถึงจะได้กำไรมากๆ กำไรมากน้อยมันอยู่ที่การบริหารหุ้นในพอร์ตและจังหวะเวลาด้วยครับ
‘ถ้า คุณเจอหุ้น Winner Stocks แต่ถือแค่ 10% ของพอร์ต แถมรีบขายหมู สรุปคุณก็ไม่ได้กำไรเท่าไหร่เลย แถมตัวที่ถือเยอะๆกลับไม่ใช่หุ้นที่ทำกำไร บางทีก็ลงตามตลาดอีก สรุปแล้วผลตอบแทนของคุณก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ครับ’

ซึ่งปัจจุบันผมจึงให้ความสำคัญกับ Stock Selection, Valuation, Timing และ Position พอๆกันครับ เพราะผมมองว่าทุกปัจจัยสำคัญพอๆกัน และก็มีเหตุผลที่ทำให้แต่ละปัจจัยมีความสำคัญครับ
แถมท้ายด้วยประโยคนี้ครับ จะทำให้เห็นความสำคัญของ Timing ในการลงทุน

“Good stocks bought at the wrong time can go down as much as poor stocks, and it’s possible they might not be such good stocks in the first place. It may just your personal opinion they’re good” ; William O’Neil

และจากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น เราสามารถสรุปออกมาเป็น 1 ในกฏการลงทุนของ O’Neil ก็คือ
>> ‘Buy Strength, Sell Weakness’ <<

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2556

10 กฎในการเทรดของ Paul Tudor Jones

 

 "Paul Tudor Jones" คือหนึ่งในสุดยอดผู้จัดการกองทุนในยุคนี้
เขาเป็นผู้จัดการกองทุนที่ใช้การผสมผสานระหว่าง การวิเคราะห์ทางพื้นฐานและเทคนิค ได้อย่างลงตัว
ในปัจจุบันกองทุนของเขา การนำเงินไปลงทุนของเขาแบ่งไปในหลายสินค้า ไม่ว่าจะเป็น...

- การเทรดในตลาดหุ้นทั่วโลก
- ลงทุนหุ้นพื้นฐานในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา และ ยุโรป
- ลงทุนในตลาดเกิดใหม่
- คอมโมดิตี้
- ลงทุนในระบบที่เขาคิดขึ้นมา
- และอื่นๆอีกนิดหน่อย

“10 กฎในการเทรดของ Paul Tudor Jones” ประกอบด้วย

1. ตลาดเคยเป็นยังไง วันนี้ก็เป็นอย่างนั้น เคยเกิดอะไรขึ้นมาแล้วในรอบ 100 ปี วันนี้ก็วนเวียนในรูปแบบเดิมๆ

2. ผมเห็นเทรดเดอร์สมัยนี้ พยายามจะหาเหตุผลที่หุ้นจะขึ้นหรือลง ซึ่งโดยปกตินั้น ถ้าทำแบบนี้ บางครั้งมันอาจจะทำให้เรามั่นใจในทางใดทางหนึ่งมากเกินไป

3. เมื่อเรามองไปที่การวิเคราะห์พื้นฐาน เราอาจจะได้ข้อมูลมาบางส่วน ซึ่งข้อมูลเพียงบางส่วนที่ได้มานั้นอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดในการ วิเคราะห์ได้ ดังนั้นเราควรที่จะเรียนรู้ที่จะเคลื่อนไหวไปพร้อมกับ “กราฟ”

4. ทุกวันนี้ มีคนที่พยายามเป็นฮีโร่ในตลาดหุ้นมากเหลือเกิน ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง ก็จะมีคนที่คอยหาเหตุผลพร้อมภาพประกอบที่ทำให้ดูน่าเชื่อถือปล่อยออกมา ซึ่งเราต้องระวังการถูกครอบงำจากความคิดของคนเหล่านี้

5. วิธีการเดียวที่จะเรียนรู้จากตลาดหุ้นได้ คือ ต้องอยู่กับมันให้นานเพียงพอ !

6. การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน อาจจะใช้ได้ดีในการเครื่องไหวในช่วงต้นๆ แต่เมื่อราคามีการวิ่งขึ้นไปอย่างรุนแรง การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้ามาช่วยจะได้ผลดีกว่า

7. ก่อนการเข้าเทรดทุกครั้ง เราต้องรู้และจำกัดความเสี่ยงไว้ตั้งแต่แรก (ต้องตั้งจุดตัดขายขาดทุนไว้ตลอด กฏเซียนหุ้นทั่วไป เซียนหุ้นไทย ตั้งกฏไว้ ตัดขายขาดทุนอัตโนมัติ เวลาขาดทุน 5 - 10%)

8. ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมถือสถานะที่อยู่ตรงข้ามกับตลาด ผมจะรีบออกจากสถานะนั้นทันที ! ผมถือว่า “การควบคุมความเสี่ยง” นั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเทรด

9. “การถัวขาดทุน” เป็นการนับถอยหลังสู่ความพ่ายแพ้ทางหนึ่ง

10. การซื้อ-ขายหุ้น เพียงดูแค่ค่า PE อย่างเดียว เป็นการกระทำที่โง่เกินไปในตลาดหุ้นแห่งนี้ !

ซึ่งผลงานแปลชิ้นนี้ ผมให้เครดิต “Ivanhoff” ที่เขียนกฎการเทรดของ Paul Tudor Jones ขึ้นมา ทำให้ผมสามารถนำผลงานดีๆนี้มาแปลให้ทุกคนได้อ่านกัน

Source: IvanHoff Blog
แปลโดย : Traveller's trade
20.07.2013 (20.14น.)