เห็นคนส่วนใหญ่ชอบพูดกันว่าไม่เห็นมีใครรวยจากการดูกราฟหรือใช้เทคนิค
บทความนี้ขอเขียนเป็นข้อมูลให้กับคนที่ชอบพูดว่าเขา
“ไม่เคยเจอกับนักเก็งกำไรหรือนักเทคนิคที่ประสบความสำเร็จ (ในระยะยาว)”
ใครเจอที่ไหนก็ช่วยเอาไปแปะให้เขาอ่านหน่อยแล้วกันครับ ^_^
ถ้าการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคได้ผลจริง แล้วทำไมยังไม่เห็นมีนักเทคนิคคนใดประสบความสำเร็จสักคน?
ก่อนจะเข้าเรื่องขอให้ทำความเข้าใจกันสักนิดนึงก่อน
นั่นคือผมคิดว่าคำว่า “ความสำเร็จ” อาจไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงเบอร์ 1
ของโลกนี้ก็ได้ และผมเห็นว่าเบอร์ 1 ไม่เคยมีอยู่จริง
มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาเสมอ (ยกตัวอย่างเช่น
นักเก็งกำไรนั้นเสียงดังมากๆในยุคของลิเวอร์มอร์)
นอกจากนี้แล้วความสำเร็จยังอยู่ที่ Benchmark ในการวัดผลของแต่ละคนด้วย
คุณไม่จำเป็นต้องมองแต่คนที่มีเม็ดเงินสูงสุดเพียงอย่างเดียว
ผมคิดว่าผลของการลงทุนมันมีหลายมิติ
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงมีอัตราส่วนทางการเงินในหลายๆรูปแบบเพื่อวัด
ผลในการลงทุนของเรานั่นเองครับ
เอาล่ะครับ! หลังจากที่ผมลองนึกถึงนักเก็งกำไรชื่อดังต่างๆ
รวมถึงลองค้นจากใน Google สักเพิ่มเติมอีกสักหน่อย
รายชื่อของนักเก็งกำไรหลายๆคนก็เริ่มที่จะปรากฏขึ้นมาใน List
ของผมจนเยอะพอสมควรแล้ว ไอ้ครั้นจะให้ผมเขียนถึงทุกคนก็คงไม่ไหว
ในเบื้องต้นแล้วผมจึงขอเอาสัก 10
ชื่อเบิ้มๆตามมาตรฐานความร่ำรวยที่ได้รับการเปิดเผยก่อนแล้วกัน
โดยในที่นี้ขอนำมาเฉพาะ Trader ที่มีหลักฐานว่าเขาใช้หลักการของ Technical
Analysis
หรืออาศัยสมมติฐานของค่าทางการเงินที่ได้จากการศึกษาข้อมูลสถิติในอดีตมาใช้
พิจารณาในการเก็งกำไรกัน (เช่น ราคาหุ้น, ความผันผวนของหุ้น
หรือผลตอบแทนของตลาด) ขาดตกอีกหลายๆชื่อไปต้องขอโทษด้วยครับ
นักเก็งกำไรในตำนานยุคเก่า
1. Munehisa Homma บิดาแห่งกราฟแท่งเทียน
Homma
ผู้นี้เป็นตำนานของเหล่าผู้ใช้กราฟแท่งเทียน
มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆจากความเก่งกาจและร่ำรวยของเขาในช่วงศตวรรษที่ 17
โดยว่ากันว่าหากนำทรัพย์สมบัติที่ได้จากการเก็งกำไรของเขามาตีค่าออกเป็น
มูลค่าของเงินในปัจจุบันแล้ว เขาจะมีทรัพย์สินอยู่ราวหนึ่่งแสนล้านดอลลาร์
(100 Billion) เลยทีเดียว
สำหรับความยิ่งใหญ่ของเขานั้นว่ากันว่าชาวบ้านชาวเมืองแถวนั้นถึงกับเอาความ
สำเร็จของแกไปแต่งเป็นเพลงพื้นบ้านเลยทีเดียวครับ
2. Jesse Livermore หมีใหญ่แห่ง WallSt.
ตำนานแห่ง Wallstreet
ที่เคยเขย่าตลาดหุ้นจนได้รับฉายาว่า Boy Plunger
โดยในช่วงที่ชีวิตของเขาประสบความสำเร็จนั้นเขามีทรัพย์สินอยู่ถึงราว 100
ล้านเหรียญ (หรือราว 2.3 Billion ในปัจจุบัน)
แต่ด้วยปัญหาทางด้านสุขภาพจิตและชีวิตส่วนตัวที่รุมเร้า
เขาจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายโดยเหลือทรัพย์สินติดตัวเพียง 5
ล้านเหรียญเท่านั้น
อย่างไรก็ตามแนวคิดต่างๆของเขาได้กลายเป็นรากฐานสำหรับนักเก็งกำไรทั่วโลกจน
ถึงปัจจุบัน
สุดยอดนักเก็งกำไรในยุคปัจจุบัน
3. James “Jim” Simon ผู้ก่อตั้งกองทุน Hedge Funds – Renaissance Technologies
คุณลุงคนนี้ถือได้ว่าเป็นสุดยอด Trader และนักคณิตศาสตร์ของโลกคนหนึ่ง
เพราะเขาได้เป็นผู้ร่วมคิดค้นทฤษฏี Chern-Simon Theory
ไว้ในวงการคณิตศาสตร์เอาไว้ด้วย (ใครสงสัยว่ามันคืออะไรลองค้นใน Wikipedia
ดูนะครับ) ฉายาของแกก็คือ “King of Quant” นั่นเอง
- ทรัพย์สิน : 10.7 Billion
- รูปแบบการลงทุน : High Frequency Trading (HFT)
- สถิติที่น่าสนใจ : ปัจจุบัน Medallion Fund มี CAGR ที่สูงกว่า 35% ต่อปี (หลังหักค่าบริหาร) มาตั้งแต่ปี 1990
4. Steve A. Cohen ผู้ก่อตั้งกองทุน Hedge Funds – SAC Capital
เขาคือเจ้าพ่อตลาดหุ้นและจ้าวแห่งศาสตร์ “Tape Reading”
หรือการอ่านโวลุ่มการซื้อขายที่เกิดขึ้นในระยะสั้นถึงขนาดได้ฉายาว่าเป็น
“Jesse Livermore” ในยุคปัจจุบันเลยทีเดียว
น่าเสียดายว่าเขาเป็นคนที่เก็บตัวเป็นอย่างมากเราจึงไม่มีข้อมูลส่วนตัวหรือ
วิธีการเก็งกำไรของเขาสักเท่าไหร่นัก
- ทรัพย์สิน : 8.3 Billion
- สไตล์การลงทุน : Tape Reading
- สถิติที่น่าสนใจ : CAGR เฉลี่ยตั้งแต่ปี 1992 – 2008 อยู่ที่ราว 40% ต่อปี
5. Bruce Kovner ผู้ก่อตั้งกองทุน Hedge Funds – Caxton Associate
เขาคือผู้เยี่ยมยุทธ์ในวงการ Global Macro Funds สายเลือด Trend
Following ผู้เป็นลูกศิษย์ของ Micheal Marcus (ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ Ed
Seykota อีกทีหนึ่ง)
ใครที่สนใจถึงแนวคิดหรือประวัติของเขาลองหาอ่านบทสัมภาษณ์ที่เคยถูกตีพิมพ์
ไว้ในหนังสือ Market Wizard โดย Jack Schwager ได้เลยครับ
- ทรัพย์สิน : 4.5 Billion
- สไตล์การลงทุน : Global Macro – Trend Following
- สถิติที่น่าสนใจ : ในช่วงยุค 80 กองทุนของเขามี CAGR ย้อนหลัง 10 ปีอยู่ที่ 87%/ปี
6. Paul Tudor Jones ผู้ก่อตั้งกองทุน Hedge Funds – Tudor Investment Corperation
จากบทสัมภาษณ์ของเขาในหนังสือ Market Wizard
เขาเชี่ยวชาญเทคนิคการเก็งกำไรแบบ Swing Trading เป็นอย่างมาก (เล่นสั้น –
เล่นรอบ) เขาเป็นพวกชอบเล่นกับจุดกลับตัวของตลาด
และเป็นถือเป็นนักเก็งกำไรที่มีความ Aggressive
และมีสัญชาติญาณที่สูงเป็นอย่างมาก (แหกปากตะโกนตลอดเวลาว่างั้นเลย หุหุ)
- ทรัพย์สิน : 3.4 Billion
- สไตล์การลงทุน : Contrarian – Swing Trading
- สถิติที่น่าสนใจ : กองทุนเคยมีผลตอบเฉลี่ยต่อปีสูงกว่า 99% ถึง 5 ปีติดกัน
7. David Shaw ผู้ก่อตั้งกองทุน Hedge Funds – D.E. Shaw&Co.
Computer Scientist
ผู้นี้คือผู้ที่มองเห็นโอกาสสร้างความมั่งคั่งจากตลาดด้วยการบุกเบิกการเก็ง
กำไรในสไตล์ High Speed Quantiative Trading คนต้นๆของวงการตั้งแต่ช่วงปี
2001 เลยทีเดียว และเขายังเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งที่ได้รับฉายาว่า “King
Quant” โดยนิตยสาร Fortune Magazine โดยในปัจจุบันนี้ Shaw
เริ่มหันเหตนเองไปทำ Research ในสาย Computaional Biochemistry
ด้วยความชอบของตนเองอย่างเต็มตัวเรียบร้อยแล้ว
- ทรัพย์สิน : 3 Billion
- สไตล์การลงทุน : High Speed Quantiative Trading
- สถิติที่น่าสนใจ : เขาเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประธานาธิบดีคลินตันและโอบามา
8. Stanley Drunkenmiller – ผู้ก่อตั้งกองทุน Dunquesne Capital
ลูกหม้อคนสำคัญของ Gorge Soros
ในยุค 90 ก่อนที่จะออกมาก่อตั้งกองทุนของเขาเอง
วีรกรรมสำคัญของเขาก็คือการร่วมกันกับ Soros
ถล่มธนาคารแห่งชาติของประเทศอังกฤษเสียจนเละด้วยการขายชอร์ททุบเงินปอนด์ใน
ปี 1992 และโกยกำไรไปกว่า 1 Billion ไปในคราวเดียว
เขามักใช้การอ่านกราฟมาช่วยในการหาจังหวะเวลาในการเดิมพัน
และเชื่อในหลักของการรักษาเงินต้นและการทำโฮมรัน
- ทรัพย์สิน : 2.5 Billion
- สไตล์การลงทุน : Top-Down Trading
- สถิติที่น่าสนใจ : กองทุนของเขามี CAGR ภายใน 12 ปีอยู่ที่ 37% ก่อนที่จะปิดตัวลง
9. David Harding ผู้ก่อตั้งกองทุน – Winton Capital Management
เขาคือผู้ที่ประกาศว่าตนเองคือ “Systematic Trend Follower”
หรือนักเก็งกำไรตามแนวโน้มตัวจริง
โดยเขาจะทำการลงทุนอย่างเป็นระบบตามที่งานวิจัยของเขาได้บ่งชี้เอาไว้เท่า
นั้น และเขายังเคยให้สัมภาษณ์ต่อหน้าพิธีกรรายการทีวีของ CNBC
ไว้ด้วยซ้ำว่า “ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตลาด ผมไม่รู้
และผมไม่รู้จริงๆ เพราะผมไม่ได้มีญาณที่จะไปหยั่งรู้ได้!” …
ไม่กลัวโดนถอนเงินออกจากกองทุนเลยน้าา อิอิ
- ทรัพย์สิน : 1.3 Billion
- สไตล์การลงทุน : Systematic Trend Following
- สถิติที่น่าสนใจ : ตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1997 เขามีผลตอบแทนติดลบเพียงปีเดียว
10. John W. Henry ผู้ก่อตั้งกองทุน J.W. Henry&Company และเจ้าของทีม Liverpool ในปัจจุบัน
John เริ่มต้นสะสมความมั่งคั่งมาจากการเป็นนักเก็งกำไรในตลาด Futures
ก่อนที่จะเข้าเป็นเจ้าของทีม Boston Redsox และ Liverpool
ที่แฟนบอลคนไทยหลายๆคนเป็นสาวกกัน เขาเป็นนักเล่นหุ้นแบบ Systematic Trend Following อีกคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากโดยใช้เวลาไม่นานนัก
- ทรัพย์สิน : 1.1 Billion
- สไตล์การลงทุน : Systematic Trend Following
- สถิติที่น่าสนใจ : ในอดีตเขานำผลกำไรที่ได้จากการเก็งกำไรในรูปแบบของ
Trend Following กว่า 700 ล้านเหรียญไปต่อยอดซื้อทีม Boston Redsox
*
ผมพยายามยกมาให้มันครบๆเหล่าของแนวทางการใช้เทคนิคแต่ละแนวนะครับ
ส่วนที่ว่า Soros ทำไมไม่ติดโผบ้าง
เพราะเท่าที่เคยศึกษาแกไม่ได้ดูกราฟเท่าไหร่ครับ
** ขอขอบคุณที่มาของมูลค่าทรัพย์สินจากรายงานของนิตยสาร Forbes ในเดือนมีนาคม 2012
องค์ประกอบร่วมของนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ
ขอแถมอีกนิดเนื่องจากว่าผมได้เคยศึกษาข้อมูลของนักเก็งกำไรระดับ
Billionaire
เหล่านี้มาบ้างจึงพอที่จะเห็นปัจจัยบางอย่างที่คล้ายๆกันดังนี้ครับ
- พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็น Self-Made Billionare
- มักใช้ระบบการลงทุนในการซื้อขายโดยอัตโนมัติหรือใช้คอมพิวเตอร์ในการให้สัญญาณซื้อขาย
- มีกฏในการเก็งกำไรที่ชัดเจนมากๆและปฏิบัติตามอยู่เสมอ
- มีแนวทางหรือระบบการลงทุนเป็นของตนเอง (ค้นคว้าด้วยตนเอง)
- ส่วนใหญ่ทำการ Backtest ทดสอบระบบการลงทุนของพวกเขาย้อนหลังเป็นอย่างดีเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะนำมาลองใช้จริงในตลาด
- ตรวจสอบและประเมิณสุขภาพของระบบหรือผลการลงทุนของพวกเขาอยู่เสมอ
- พวกเขามักเริ่มต้นด้วยการขาดทุนหนักๆในปีแรกๆก่อนที่จะกลับมาทำกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำได้
- มักใช้ “ตัวคูณ” ในการสร้างความร่ำรวยด้วยการตั้งกองทุนของพวกเขาขึ้นมา
- แต่ละคนมีแนวทางหรือระบบการลงทุนที่เหมาะสมกับจริตของตนเอง
- หลักการรักษาเงินต้นคือกฏข้อแรก พวกเขาจะนึกถึงความเสี่ยง “ก่อน” เสมอ
- มีการควบคุมอารมณ์หรือจิตวิทยาการลงทุนได้อย่างดีเยี่ยม
- สิ่งสำคัญไม่ใช่กราฟ แต่เป็นความเข้าใจถึงความเสี่ยง, ผลตอบแทนและความน่าจะเป็น
… 9ล9
ขอขอบคุณ http://www.mangmaoclub.com